
9 วิธี "9 เทคนิคการฝึกสมองให้ไบรท์" เป็นความรู้จากผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและประสาทครับ มีประโยชน์อย่างมากครับ ที่สำคัญคือทำได้ไม่ยาก ทั้ง 9 วิธีต้องฝึกไปพร้อมๆ กันครับ ตอนแรกอาจฝืนใจนิดๆ ถ้าเรายังไม่เคยปฏิบัติ แต่เมื่อฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะกลายเป็นนิสัย คือเป็นไปเองโดยอัตโนมัติครับ
จะขอสรุปแนะนำเทคนิคเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญบางข้อ ดังนี้ครับ ข้อหนึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า น้ำที่สอาดมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไร คำว่าจิบน้ำบ่อยๆ หมาย
ไม่ให้ดื่มน้ำทีละมากๆ ครับ เพราะบางคนชอบดื่มน้ำทีละมากๆ ดื่มไม่มากแต่ดื่มบ่อยๆ จะดีกว่าครับ ข้อที่สาม การทำสมาธิ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าสมองของเราเป็นส่วนกายภาพ
เป็นรูปธรรม ส่วนจิตเป็นนามธรรม เคยเปรียบเทียบให้ดูว่า สมองเปรียบเสมือนเครื่องจักรหรือรถยนต์ จิตใจเปรียบเสมือนคนขับ ทั้งสองส่วนนี้จะต้องดีเสมอกัน จึงจะนำเราไปสู่เป้า
หมายปลายทางได้โดยปลอดภัย รถยนต์ดีแต่คนขับไม่ดีหรือหย่อนประสิทธิภาพก็อาจเจออุบัติเหตุระหว่างทางก่อนถึงจุดหมาย เหมือนกับคนที่เรียนแก่งมากๆ คือสมองดีแต่ฆ่าตัวเอง
ตายก็มีให้เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ คนขับดีแต่รถยนต์ไม่ดีหรือหย่อนประสิทธิภาพ ก็อาจไม่สามารถพาเราไปถึงเป้าหมายปลายทางได้เช่นกัน หรืออาจถึงเป้าหมายปลายทางได้ช้า
แต่ธรรมชาติให้สมองก้อนโตแก่มนุษย์ทุกคนมาเท่าๆ กัน ยกเว้นบางคนสมองพิการมาแต่กำเนิด นั่นก็เป็นเพราะกรรมแต่ปางก่อน สมองสามารถบำรุงรักษาแก้ไขให้ดีอย่างไรก็ได้
เหมือนรถยนต์สามารถบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมให้ดีได้ จิตของเราก็เช่นกัน จะต้องฝึกต้องหัดต้องดัดต้องบำรุงรักษาให้ดี เพราะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต การทำสมาธิก็เป็นวิธีการฝึก
จิตของเราให้ดีให้มีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่ง การทำสมาธิก็สามารถทำได้ทุกอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง หรือนอน คำว่าสมาธิ หมายความว่า จิตที่นิ่งสงบจดจ่ออยู่กับการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
นอกจากเราจะทำสมาธิตอนเช้าเพื่อให้จิตของเรา สอาด สว่าง และสงบแล้ว การฝึกจิตให้มีสมาธิในการทำงานหรือกับการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องฝึกด้วยเช่น
กัน เพราะสมาธิเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา เมื่อเรามีปัญญาแล้วงานทุกสิ่งทุกอย่างหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา ก็จะสามารถทำหรือแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างมีประสิทธิภาพ
ท่านที่มีนิสัยเป็นคนขี้ลืม แก้ได้ง่ายๆ ด้วยวิธีการฝึกในข้อทีสี่ครับ ผู้เขียนฝึกได้ผลมาแล้ว เมื่อก่อนเป็นคนขี้ลืมมาก ของที่มีค่าหายไปนับไม่ถ้วนเพราะลืมวางไว้แล้วหา
ไม่เจอหรือถูกคนอื่นเอาไป (เห็นเป็นกันเยอะ) การที่เราลืมเพราะว่า เมื่อเราทำ พูด คิดสิ่งไร ในขณะจิตนั้นเราขาดสติและสมาธิคือความเอาจิดจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ทำก็สักแต่ว่าทำ
เดี๋ยวก็ลืม พูดก็สักแต่ว่าพูดเดี๋ยวก็ลืม คิดก็สักแต่ว่าคิดเดี๋ยวก็ลืม วิธีการฝึกก็คือ ก่อนที่เราจะ ทำ พูด คิด สิ่งไรเราต้องตั้งสติคือการยั้งคิดให้รอบคอบถี่ถ้วนในสิ่งนั้นก่อน ในขณะกำลัง
ทำต้องเอาใจใส่จดจ่อกับสิ่งนั้น (ต้องตั้งใจเต็มร้อย) สติ (รู้ตัวรู้รอบ) ต้องใช้ทั้งก่อนทำและกำลังทำ สมาธิ (จิตจดจ่อ) ใช้ในขณะกำลังทำ ตอนแรกต้องฝึก แต่ถ้าฝึกไปได้สักระยะ ต่อไป
สมองจะจดจำพฤติกรรมนั้นๆ ในครั้งต่อๆ ไปก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ โรคขี้ลืมหรือการทำงานหย่อนประสิทธิภาพก็จะหมดไปทันที
สำหรับคำแนะนำข้ออื่นๆ ก็ง่ายๆ ครับ ลองศึกษาและปฏิบัติดู สงสัยตรงไหนก็สามารถโพสถามได้ครับ ตอบได้ก้จะตอบ ตอบไม่ได้ก็จะตอบ (ถามผู้รู้ให้) ทั้ง 9 ข้อของผู้เชี่ยว
ชาญด้านสมองและระบบประสาท เป็นการฝึกสมองที่เป็นส่วนกายภาพหรือรูปธรรมและจิตอันเป็นส่วนนามธรรมไปพร้อมๆ กัน ขอให้ท่านฝึกนะครับ ประโยชน์อันมหาศาลจะเกิดแก่
ท่าน วิธีการของแต่ละข้อมี ดังนี้ครับ
"9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์"*
สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
ไม่ให้ดื่มน้ำทีละมากๆ ครับ เพราะบางคนชอบดื่มน้ำทีละมากๆ ดื่มไม่มากแต่ดื่มบ่อยๆ จะดีกว่าครับ ข้อที่สาม การทำสมาธิ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าสมองของเราเป็นส่วนกายภาพ
เป็นรูปธรรม ส่วนจิตเป็นนามธรรม เคยเปรียบเทียบให้ดูว่า สมองเปรียบเสมือนเครื่องจักรหรือรถยนต์ จิตใจเปรียบเสมือนคนขับ ทั้งสองส่วนนี้จะต้องดีเสมอกัน จึงจะนำเราไปสู่เป้า
หมายปลายทางได้โดยปลอดภัย รถยนต์ดีแต่คนขับไม่ดีหรือหย่อนประสิทธิภาพก็อาจเจออุบัติเหตุระหว่างทางก่อนถึงจุดหมาย เหมือนกับคนที่เรียนแก่งมากๆ คือสมองดีแต่ฆ่าตัวเอง
ตายก็มีให้เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ คนขับดีแต่รถยนต์ไม่ดีหรือหย่อนประสิทธิภาพ ก็อาจไม่สามารถพาเราไปถึงเป้าหมายปลายทางได้เช่นกัน หรืออาจถึงเป้าหมายปลายทางได้ช้า
แต่ธรรมชาติให้สมองก้อนโตแก่มนุษย์ทุกคนมาเท่าๆ กัน ยกเว้นบางคนสมองพิการมาแต่กำเนิด นั่นก็เป็นเพราะกรรมแต่ปางก่อน สมองสามารถบำรุงรักษาแก้ไขให้ดีอย่างไรก็ได้
เหมือนรถยนต์สามารถบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมให้ดีได้ จิตของเราก็เช่นกัน จะต้องฝึกต้องหัดต้องดัดต้องบำรุงรักษาให้ดี เพราะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต การทำสมาธิก็เป็นวิธีการฝึก
จิตของเราให้ดีให้มีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่ง การทำสมาธิก็สามารถทำได้ทุกอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง หรือนอน คำว่าสมาธิ หมายความว่า จิตที่นิ่งสงบจดจ่ออยู่กับการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
นอกจากเราจะทำสมาธิตอนเช้าเพื่อให้จิตของเรา สอาด สว่าง และสงบแล้ว การฝึกจิตให้มีสมาธิในการทำงานหรือกับการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องฝึกด้วยเช่น
กัน เพราะสมาธิเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา เมื่อเรามีปัญญาแล้วงานทุกสิ่งทุกอย่างหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา ก็จะสามารถทำหรือแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างมีประสิทธิภาพ
ท่านที่มีนิสัยเป็นคนขี้ลืม แก้ได้ง่ายๆ ด้วยวิธีการฝึกในข้อทีสี่ครับ ผู้เขียนฝึกได้ผลมาแล้ว เมื่อก่อนเป็นคนขี้ลืมมาก ของที่มีค่าหายไปนับไม่ถ้วนเพราะลืมวางไว้แล้วหา
ไม่เจอหรือถูกคนอื่นเอาไป (เห็นเป็นกันเยอะ) การที่เราลืมเพราะว่า เมื่อเราทำ พูด คิดสิ่งไร ในขณะจิตนั้นเราขาดสติและสมาธิคือความเอาจิดจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ทำก็สักแต่ว่าทำ
เดี๋ยวก็ลืม พูดก็สักแต่ว่าพูดเดี๋ยวก็ลืม คิดก็สักแต่ว่าคิดเดี๋ยวก็ลืม วิธีการฝึกก็คือ ก่อนที่เราจะ ทำ พูด คิด สิ่งไรเราต้องตั้งสติคือการยั้งคิดให้รอบคอบถี่ถ้วนในสิ่งนั้นก่อน ในขณะกำลัง
ทำต้องเอาใจใส่จดจ่อกับสิ่งนั้น (ต้องตั้งใจเต็มร้อย) สติ (รู้ตัวรู้รอบ) ต้องใช้ทั้งก่อนทำและกำลังทำ สมาธิ (จิตจดจ่อ) ใช้ในขณะกำลังทำ ตอนแรกต้องฝึก แต่ถ้าฝึกไปได้สักระยะ ต่อไป
สมองจะจดจำพฤติกรรมนั้นๆ ในครั้งต่อๆ ไปก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ โรคขี้ลืมหรือการทำงานหย่อนประสิทธิภาพก็จะหมดไปทันที
สำหรับคำแนะนำข้ออื่นๆ ก็ง่ายๆ ครับ ลองศึกษาและปฏิบัติดู สงสัยตรงไหนก็สามารถโพสถามได้ครับ ตอบได้ก้จะตอบ ตอบไม่ได้ก็จะตอบ (ถามผู้รู้ให้) ทั้ง 9 ข้อของผู้เชี่ยว
ชาญด้านสมองและระบบประสาท เป็นการฝึกสมองที่เป็นส่วนกายภาพหรือรูปธรรมและจิตอันเป็นส่วนนามธรรมไปพร้อมๆ กัน ขอให้ท่านฝึกนะครับ ประโยชน์อันมหาศาลจะเกิดแก่
ท่าน วิธีการของแต่ละข้อมี ดังนี้ครับ
"9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์"*
สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
1.จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เคับ่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเคับ่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า
กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เคับ่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเคับ่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า
กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2.กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมัน
ดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมัน
ดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3.นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ
จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ
จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4.ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะ
สมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะ
สมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5.หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6.เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา
เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้
มีความคิดสร้างสรรค์
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา
เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้
มีความคิดสร้างสรรค์
7.ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8.เขียนบันทึก Graceful Journal (เช่น นักบล็อกเกอร์ทุกคน)
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ
ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ
ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9.ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น
ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่าง
ในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น
ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่าง
ในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
![]() |
ที่กรวดน้ำ-พลังทิพย์ |
บริษัท มาการ จำกัด
88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น