วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พระพุทธรูปสร้างขึ้นเมื่อใด



        ในระยะแรกหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนิกชนก็ได้นำเอา ดิน น้ำ และใบโพธิ์จากสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ (ลุมพินีวัน) ตรัสรู้ (พุทธคยา) ปฐมเทศนา (พาราณสี) และ ปรินิพพาน (กุสินารา) เก็บมาไว้เพื่อบูชาคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมามีการสร้างรูปอื่นที่เป็นสัญลักษณ์เพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ เช่น ทำดวงตราสัญลักษณ์ประจำสถานที่ต่างๆ ขึ้น ด้วยดินเผาหรือแผ่นเงิน เช่นที่เมืองกบิลพัสดุ์สร้างตราดอกบัว หมายถึงมีสิ่งบริสุทธิ์เกิดขึ้น และตราม้า หมายถึงม้ากัณฐกะ ที่เมืองพาราณสีสร้างตราธรรมจักร มีรูปกวางหมอบอันหมายถึงการแสดงธรรมจักร และพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงสร้างเสาหินอโศกไว้ในสถานที่ประสูติ เป็นต้น
    ส่วนการสร้างพระพุทธรูปมีประวัติความเป็นมาดังนี้ คือ ตามตำนานพุทธประวิติกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนธิโกศลแห่งแคว้นโกศล ได้โปรดให้ช่างจำหลักพระรูปเหมือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นจากไม้แก่นจันทร์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธองค์ที่เสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดา นับเป็นการสร้างพระพุทธรูปเป็นครั้งแรก แต่ตำนานพระแก่นจันทร์นี้ บางท่านกล่าวว่าเป็นเพียงตำนานที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่นับพระแก่นจันทร์ก็สันนิษฐานกันว่า พระพุทธรูปนั้น เริ่มสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ ตั้งแต่สมัยคันธารราฐ ซึ่งเป็นแคว้นที่อยทางตอนู่เหนือ ของอินเดียโบราณ (ปัจจุบันอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานและตะวันออกของอัฟกานอสถาน) ผู่ริเริ่มสร้างไม่ใช่ชาวอินเดียแต่เป็นพวกโยนก (กรีก) สันนิษฐานว่าเริ่มสร้างในสมัยพระเจ้าเมนันเดอร์หรือพระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีกแห่งแคว้นคันธาระ หรือคันธาราฐ
   เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชนำพระพุทธศาสนาเข้าไปเผยแผ่ในคันธาราฐ พวกโยนกยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา พระเจ้ามิลินท์มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก แสดงองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจิริญรุ่งเรือง แต่เดิมนั้นพระพุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพแต่อย่างใด เพราะในสมัยอินเดียในสมัยนั้นมีข้อห้ามในการทำรูปเคารพ แต่เคยนับถือศาสนเทวนิยมและจำหลักรูปเคารพของเทพเจ้ากลุ่มโอลิมปัสมาก่อน เช่น รูปอพอลโลและซีอุส เมื่อเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ก็เลยจำหลักศิลารูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นเคารพบูชาเป็นครั้งแรก


โรงปั้นหุ่นขี้ผึ้ง-พลังทิพย์
บริษัท มาการ จำกัด
88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พิธีการลอยอังคาร และวิธีการเก็บรักษาอัฐิ

การเก็บอัฐิ


            เมื่อการฌาปนกิจเสร็จแล้ว  การเก็บอัฐิ  ส่วนใหญ่เก็บในตอนเย็นของวันเผาเลย  ทั้งนี้ เพื่อ
จะทำบุญอัฐิให้เสร็จในคราวเดียวกัน  โดยเก็บอัฐิในเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. แล้วนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลเช่นเดียวกับพิธีก่อนเผาในคืนวันนั้น เวลาประมาณ  ๒๐.๐๐ น. นิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์  รุ่งขึ้นถวายภัตตาหารเช้า  แล้วนำอัฐิไปบรรจุหรือนำอัฐิไปบรรจุหรือนำกลับไปไว้ที่บ้าน ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีฯแต่บางส่วนจะเก็บอัฐิในวันรุ่งขึ้นเช่นเดียวกับพิธีทางราชการ           สำหรับชนบทบางท้องที่ นิยมเก็บในวันที่ ๗ จากวันเผา แล้วนำไปบำเพ็ญกุศลดังกล่าวมา           การเดินสามหาบ  ก็คือพิธีเก็บอัฐินั่นเอง  แต่เป็นพิธีเก็บอัฐิแบบเต็มหรือแบบพิเศษซึ่งก็มีอยู่หลายแบบ  ที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ           รุ่งขึ้นเช้า  เจ้าภาพไปเก็บอัฐิ  เตรียมเครื่องบูชาและเครื่องสามหาบไปด้วย  คือเครื่อง-ทองน้อย (ธูป ๑ เทียน ๑ ใส่เชิงเทียนเล็ก และดอกไม้ทำเป็น ๓ พุ่ม) ๑ ที่, สุหร่าย (ขวดโปรยน้ำ) ใส่น้ำอบไทย ๑ ขวด  พานใส่เงิน (เศษสตางค์) ๑ พาน  และโกศหรือผ้าขาวที่จะใส่อัฐิ  ของเหล่านี้ วางไว้ตรงข้างศีรษะอัฐิ           เมื่อพร้อมกันแล้ว  ก็ตั้งต้นเดินสามหาบ  คือ มีของไปถวายและเลี้ยงพระสงฆ์  ๑  ชุดชุดที่หนึ่งมีไตรครอง  เป็นประเภทเครื่องนุ่งห่ม ชุดที่สองมีสำรับคาว ๑ หวาน ๑ (เป็นเครื่องกิน) ชุดที่สามมีหม้อข้าว  เตาไฟ และเครื่องใช้           หรือจะจัดสามหาบอีกแบบหนึ่งก็ได้  คือจัดให้มีหม้อข้าว เชิงกราน พริก หอม กระเทียมฯลฯ อยู่ในสาแหรกข้างหนึ่งมีของคาวและของหวาน และจัดให้เหมือนกันอย่างนี้สามหาบ  จัดให้บุตรและหลาน หรือเครือญาติ ๓ คน  เป็นผู้หาบคนละหาบ            หรือสามหาบอีกแบบหนึ่ง จัดคนขึ้น ๙ คน แบ่งเข้าชุดละ ๓ คน  รวม ๓ ชุด ชุดหนึ่ง ๆมีดังนี้  คือ ถือไตร ๑ คน, ถือจาน  ช้อนส้อม และแก้วน้ำ ๑ คน, หาบสำรับคาวและหวาน ๑ คน  เดินเวียนเมรุคนละหรือชุดละ ๓ รอบ  เวลาเดินให้ใช้เสียงกู่กันตามวิธีชาวป่า  เรียกกันว่า  วู้ ๆ ๆ ” คนละ ๓ ครั้งแล้วจึงนำเครื่องสามหาบขึ้นตั้งยังอาสน์สงฆ์            เมื่อเดินสามหาบแล้ว  ก็ขึ้นไปเก็บอัฐิ  จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย  แล้ววางไตร ๓ ไตรบนผ้าคลุมอัฐินั้น  นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นไปชักผ้าบังสุกุลนั้น  จากนั้นจึงเปิดผ้าคลุมออก  พรมน้ำอบและเก็บอัฐิใส่ที่ที่เตรียมไว้  แล้ววางอัฐิเก็บแล้วบนพาน  ส่วนเถ้าถ่านคืออังคาร ให้รวบรวมใส่ผ้าขาวที่รองนั้นรวบชายขึ้น  แล้วห่อใส่ในที่ใส่อังคารที่เตรียมไป  แล้วเชิญอัฐิและอังคารกลับลงมาตั้งยังที่ทำบุญ  เลี้ยงพระสามหาบ  และบังสุกุลแล้ว  ก็เป็นอันเสร็จงานฯ หรือถ้าไม่มี ๓ หาบ  ก็เก็บอัฐิและอังคารแล้วบังสุกุล  ณ  ที่นั่นเป็นอันเสร็จพิธีฯ ตอนที่ลงจากเมรุแล้ว  เมื่อกลับไปขึ้นบันไดที่บ้าน  เจ้าภาพโปรยเศษสตางค์เป็นการให้ทานด้วย
          ประเพณีเกี่ยวกับการเก็บอัฐิมีอยู่ว่า  เมื่อถึงเวลาเก็บอัฐิ  จะเป็นในวันเผาหรือในวันรุ่งขึ้น หรือ ๓ วัน ๗ วัน หลังจากเผาเสร็จก็ตาม  ครั้งแรกให้ทำกองกระดูกให้เป็นรูปคนนอนหงาย  หันศีรษะไปทางทิศตะวันตก สมมติว่าตาย  แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณาบังสุกุล  ตอนนี้เรียกว่า  บังสุกุลตาย
ผ้าทอดก็ได้  หรือไม่มีก็ได้  พระสงฆ์จะพิจารณาว่า  อะนิจจา  วะตะ  สังขารา  อุปปาทะวะยะธัมมิโนอุปปัชชิตตะวา  นิรุชฌันติ  เตสัง  วูปะสะโม  สุโข ” เมื่อพระสงฆ์พิจารณาบังสุกุลจนจบแล้ว  ก็ให้แปรรูปอัฐินั้นใหม่  เป็นรูปคนหันศีรษะไปทางทิศตะวันออก  สมมติว่าเกิด  จากนั้น เจ้าภาพก็ใช้น้ำหอมประพรมและโปรยด้วยดอกไม้และเงินทอง นิมนต์พระสงฆ์พิจารณาบังสุกุลอีกครั้งหนึ่ง  คราวนี้เรียกว่า บังสุกุลเป็น” พระสงฆ์  จะพิจารณาบังสุกุลว่า  อะจิรัง วะตะยัง กาโย  ปะฐะวิง  อะธิเสสสะติ ฉุฑโฑอะเปตะวิญญาโณ  นิรัตถังวะ  กะลิงคะรัง ” แล้วทำการเก็บอัฐิ         เมื่อเก็บอัฐิตามต้องการแล้ว  อัฐิที่เหลือ รวมทั้งเถ้าถ่านให้รวบรวมไปบรรจุ  ลอยแม่น้ำ

บริษัท มาการ จำกัด
88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200

เจ้ากรรมนายเวร คืออะไร ต้องการอะไร และแก้ไขอย่างไร

เจ้ากรรมนายเวร

เจ้ากรรมนายเวร ก็คือ คน สัตว์หรือวิญญาณ ที่เคยมีความเกี่ยวข้องกันกับเรามาในอดีต หลายคนอาจจะเป็นพี่ เป็นน้อง พ่อแม่ เป็นเพื่อน หรือกระทั่งเป็นคน เป็นสัตว์ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ๆ หนึ่งหรือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ต้องมาเกี่ยวพันกัน อาจจะเป็นเรื่องที่เรานั้นตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม แล้วเขาก็มีการอาฆาต เขายังมีความต้องการให้เราต้องชดใช้
ในบางคน อาจจะเคยทำกรรมอะไรไว้ที่เบาบาง และคนที่ถูกเรากระทำนั้น เขาไม่ติดใจเอาความ ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ไม่เข้าข่ายและไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร
เรื่องนี้ขอย้ำอีกครั้ง เจ้ากรรมนายเวรที่ส่งผลให้เราทุกข์ทรมานในหลายเรื่อง หลายวาระนั้นต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่เขายังอาฆาต และยังต้องการให้เรานั้นชดใช้ และเขาจะให้อโหสิกรรมกับเราเมื่อไหร่ เวลาไหน หรือไม่ให้อโหสิกรรมนั้นขึ้นอยู่ที่เขาทั้งสิ้นไม่ใช่ตัวเรา
และตัวเราไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปบังคับเขา นอกจากการขอให้เขาอโหสิกรรมเท่านั้น จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่จะเลือกทำ ตามความถนัดและจริต รวมถึงบุญบารมีที่เรามีอยู่ในตอนนี้
ในบางกรรมที่มีเจ้ากรรมนายเวรที่เขาอาฆาตอยู่ค่อนข้างจะรุนแรง เพราะเราอาจจะมีส่วนที่ทำให้เขาเกิดการพลัดพราก สูญเสีย ทรัพย์สิน ญาติพี่น้อง คนที่เขารัก หรือมีส่วนที่ทำให้เขาเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เขาเจ็บป่วย หรือทนทุกข์ทรมานหรือถึงขั้นตายได้ การที่เราทำให้ชีวิตใดชีวิตหนึ่งต้องสูญเสียไป
และที่สำคัญจิตเขายังอาฆาตหรือต้องการให้เราชดใช้ จิตของเขาจะติดกับจิตของเราไปทุกภพ ทุกชาติ ไม่ว่าเราจะเกิดเป็นใคร เป็นคน เป็นสัตว์หรืออะไรก็ตาม จะไปเปลี่ยนชื่อ ทำศัลยกรรม หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวที่ไหนก็ตาม เขาตามเจอเราแน่นอน
เขาแค่มีเงื่อนไขเดียวเท่านั้นที่จะเลิกยุ่งกับเรา คือ ถ้าเขาได้รับการชดใช้ที่เขาพอใจ หรือเขาให้อโหสิกรรมกับเราเองด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิขออโหสิกรรม แก้กรรม ลดกรรม การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ หรืออะไรก็ตามแต่ครูบาอาจารย์แต่ละท่านจะเรียก
ถ้าเขาให้อโหสิกรรมกับเรา เราเองก็หลุดพ้นจากกรรมนั้นทันที !!! ไม่ต้องมาชดใช้กันอีกแต่มันยังคงมีเศษเวรเศษกรรมอยู่ที่เราต้องได้รับ
ที่สำคัญมันต้องเป็นฝ่ายที่เขาที่สูญเสีย เป็นคนที่อโหสิกรรมให้ เรื่องกรรมที่มีต่อกันถึงจะเลิกรากันไป ไม่ใช่เราไปคิดเอง เออเอง
ตัวอย่างเช่น กรณีเราเป็นหนี้เงิน เป็นปัจจุบันกรรม ถ้าเราเป็นหนี้ติดเงินเพื่อนที่สนิทกันมากๆ  แต่เรากลับคิดไปเองเออเองว่า เงินเพียงแค่นี้เพื่อนของเราคงยกให้เราแล้วฟรีๆ แล้ว เจอหน้ากันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อย่างนี้เรียกว่า เราคิดของเราไปเองคนเดียว
แต่จริงๆ แล้ว เพื่อนของเรายังอยากจะได้เงินของเขาคืน เมื่อสบโอกาสเหมาะๆ หรือวาระของกรรมนั้นมาถึงของมันแล้ว พอเจอหน้าเรา เพื่อนก็อาจจะบอกกับเราทันทีว่า
“เฮ้ยเมื่อไหร่ แกจะเอาเงินมาคืนเสียทีว่ะ “
หรือบางคนที่ยังคงโกรธแค้นเรามากๆ จากคนที่เคยเป็นเพื่อนอาจจะกลายเป็นศัตรูเป็นเจ้ากรรมนายเวรไปแล้ว และเมื่อเห็นเราทำเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน เขาอาจจะบอกว่า
“ถ้าแกไม่มีเงินมาคืน ฉันก็จะยึดรถ ยึดบ้าน ของรัก ของหวงของแก เอามาชดใช้แทนแล้วกัน ให้แกได้สูญเสีย เจ็บช้ำน้ำใจเหมือนฉัน”
เห็นไหมครับ เจ้ากรรมนายเวรที่ถึงแม้จะเป็นเพื่อน เขาก็ยังไม่ยอมยกโทษ ยกหนี้ให้เราง่ายๆ จนกว่าเขาจะพอใจและเขาได้รับการชำระหนี้แล้ว แล้วประสาอะไรกับเจ้ากรรมนายเวรที่ชาตินี้เราจำเขาไม่ได้ และไม่เคยเป็นเพื่อนและเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน วิบากกรรมที่จะส่งผลให้กับเรามันจะรุนแรงขนาดไหน
และการชำระหนี้นั้นที่ดีที่สุด ตรงช่องทางที่สุด ก็คือ การชำระหนี้ที่ถูกต้องและตรงกับหนี้นั้นหรือมีมูลค่าที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันที่เจ้าหนี้เขาพึงพอใจ ยืมเงินก็คืนเงิน ยืมทองก็คืนทอง ยืมรถก็คืนรถ ยืมข้าวก็คืนข้าว เรียกว่าไปเอาอะไรของใครเขามา ก็ต้องคืนสิ่งนั้นให้แก่เขาไป
จากตัวอย่างที่ยกมา ถ้าเราเป็นหนี้เงินหนทางที่ดีที่สุด เราก็ควรต้องเอาเงิน หรือของที่เขาต้องการที่มีมูลค่าแทนหนี้เงินนี้ได้ไปคืนให้เพื่อนไป ถ้ามีเงินก็เอาเงินไปคืนให้เขา มีครบจำนวนก็ยิ่งดี แม้มีไม่ถึง ก็ต้องเอาไปใช้หนี้เขาเท่าที่เรามี ค่อยๆ ผ่อนใช้เขาไป เราต้องแสดงความรับผิดชอบ เป็นลูกหนี้ชั้นดี แสดงเจตนาที่จะชำระหนี้ให้เขาเห็น
วันดีคืนดี เจ้าหนี้เขาเห็นเรามีการแสดงอย่างจริงใจว่า เราพยายามที่จะขอโทษ พยายามแก้ไขในสิ่งที่เราทำผิดลงไปแล้ว วันหนึ่งเขาก็จะเข้าใจ อย่างน้อยเทพ เทวดาอาลักษณ์ที่คุ้มครองตัวเขาอยู่ ก็อาจจะช่วยดลใจให้เขาใจอ่อนเห็นแก่บุญกุศลที่เราเพียรพยายามทำไปให้และอโหสิกรรมให้
มีบางครั้งที่ถึงแม้เราจะคืนเงินชดใช้หนี้คืนให้เขายังไม่ครบ แต่เพื่อนเราก็อาจเริ่มหายโกรธที่ละน้อยๆ เหมือนไฟแค้นที่กำลังจะมอดลงในใจ เพราะมีน้ำแห่งความดี มีพลังแห่งบุญเข้าไปรดให้ไฟแค้นมันมอดดับลงไปเรื่อยๆ
เขาเห็นเราติดหนี้เขาหนึ่งพันบาท แต่เราก็แสดงให้เขาเห็นว่าเราพยายามจะคืนให้ทุกวิธีทาง ทยอยใช้คืนวันละสิบบาท ยี่สิบบาททั้งๆ ที่จนแสนจน ครอบครัวเรายังลำบาก อดมื้อกินมื้อ
แต่เรายังมีเจตนาที่จะชดใช้คืนให้เขา เจตนาและการกระทำที่แสดงออกนั้นจึงสำคัญที่สุด
วันหนึ่งเขาอาจเห็นความดี ความตั้งใจในส่วนนี้ เขาก็อาจจะยกหนี้ให้เรา หรือพักหนี้เอาไว้ให้ก่อน แม้จะใช้มาไม่ถึงครึ่งหนึ่งก็ตาม เราควรจะขอบคุณเพื่อนที่ไม่ติดใจโกรธและขออโหสิกรรมและให้อโหสิกรรมต่อกัน เพื่อให้ไม่มีกรรมอะไรตกค้างกันไปต่อกันอีกในชาติต่อไป
แต่ถ้าเราเอง จนหนทางจริงๆ ทำอย่างไรก็ไม่มีเงินจะใช้คืนให้ แต่ยังมีความคิด ความกตัญญูที่ดี ที่อยากจะชดใช้ คงมีแต่แรงกายเท่านั้น ก็อาจจะไปขอเพื่อน ขอเอาแรงกายไปชดใช้หรือทำอะไรก็ได้ที่เจ้าหนี้เขาต้องการ เช่น ไปถางหญ้า ไปขับรถให้ หรือเอาแรงกายไปทำอะไรก็แล้วแต่ เพื่อเอาแรงไปแทนหนี้ ไปชดใช้แทนให้เขาแทนเงินที่ค้างเอาไว้
ขอให้เชื่อเถิดว่า เพื่อนก็คือเพื่อน อย่างที่บอกแต่ต้นแล้วว่า เจ้ากรรมนายเวรส่วนมากก็เป็นคนที่เคยรักเราและเราเคยรักทั้งนั้น เมื่อเขาเห็นเราไม่มีเงิน แต่ยังมีเจตนาที่ดี ไม่เบี้ยวหรือเหนียวหนี้ยังอุตส่าห์ไปนั่งหลังคดหลังงอถางหญ้าให้ เอาตัวไปให้เขาใช้งานถึงบ้าน ไปถูบ้านเก็บกวาดที่บ้านเขาทุกวันๆ ไปรับใช้เขาสารพัด เขาก็คงเริ่มจะใจอ่อนลงบ้างแล้ว ถ้าไม่อาฆาตและแค้นจนเกินไป
จนวันหนึ่งเขาอาจจะบอกว่า ไม่เป็นไรแล้วเพื่อนรัก ฉันยกโทษให้เพื่อนแล้ว ฉันสงสารเพื่อน ไม่เอาเงินแล้ว บางคนถึงกับเอาอาหาร เอาน้ำมาเลี้ยง ความสัมพันธ์กลับฟื้นขึ้นมาดีดั่งเดิมหรือมากกว่าเดิมอย่างนี้ แต่ถ้าทำกรรมดีชดใช้เขาอย่างไร เขาก็ยังไม่ยอม เราก็คงต้องเหนื่อยมากขึ้นและก้มหน้าเพียรพยายามชดใช้กันต่อไปจนกว่าเขาจะใจอ่อนยอมอโหสิกรรมให้เรา
ที่นี้เรามาดูในเรื่องของหนี้อื่น ที่ไม่ใช่เงินบ้าง ถ้าเป็นหนี้ชีวิต การที่ในอดีตชาติของเรา ตัวเราอาจจะไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขา จะเป็นหมู หมา กาไก่ สัตว์อะไรก็ตามแม้กระทั่งมด ยุงริ้นไร เมื่อเราจบสิ้นชาตินั้นแล้ว ก็เหมือนกับที่ละครชีวิตฉากนั้นมันจบ มันปิดฉากลงไปแล้ว นักแสดงและคนดูต่างคนต่างแยกย้ายกันไปแล้ว
มีคนมากมายที่ในอดีตชาติที่ผ่านมาอาจจะเคยเป็นทหารกล้า ต้องไปทำศึกสงคราม และต้องฆ่าคน ฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมาก แล้วไปสร้างวัด หล่อพระ บำรุงพระพุทธศาสนาทำอะไรดีๆ มากมายทิ้งไว้ในแผ่นดินก่อนที่จะตาย
ในส่วนของบุญที่ทำให้กับประโยชน์แผ่นดิน และพระพุทธศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่ง ในเรื่องของการผิดศีลข้อหนึ่งที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นก็เป็นบาปมหันต์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก็ต้องรับไปทั้งบุญและกรรม
และเหมือนกับพวกที่มีอาชีพเป็นแพทย์ เพราะกว่าจะได้เป็นแพทย์เก่งๆ เขาก็ต้องทำการทดลองค้นคว้าหาโรคภัยไข้เจ็บมามากมาย เขายอมทำอย่างนั้นก็เพื่อหาหนทางช่วยชีวิตคน เขาก็ต้องใช้สัตว์ทดลอง สัตว์พวกนี้ก็ต้องตายหรือพิการเพราะการทดลอง บุญที่เขาได้ช่วยคนก็เป็นส่วนหนึ่ง กรรมที่เขาต้องเอาเชื้อโรคใส่เข้าไปในสัตว์ ทำให้มันทรมานหรือตายไป ก็เป็นกรรมอีกส่วนหนึ่งแยกออกจากกันชัดแจ้ง
เราต้องเข้าใจก่อนว่าบุญก็อยู่ส่วนบุญ บาปกรรมก็อยู่ส่วนบาปกรรม
การที่มาเริ่มชาติใหม่ก็เหมือนเปิดการแสดงรอบใหม่ ชาติใหม่หรือชาตินี้ เราเองคงจำใครหรือจำเรื่องราวไม่ได้เลยในชาติที่แล้ว ความทรงจำในเรื่องเดิม มันถูกลบลงไปเรียบร้อยแล้ว เราเปลี่ยนรูปร่างหน้าตา เปลี่ยนชื่อนามสกุล เปลี่ยนสัญชาติไปแล้ว เปลี่ยนทุกอย่างไปหมด
บางคนอาจจะจำได้ลางๆ คุ้นๆ ว่าเรื่องแบบนี้เคยเห็น เคยทำมาแล้ว เคยสัมผัสมาแล้ว แต่ก็แค่พักเดียวมันก็จะลบลงหายไปแล้ว บางครั้งอาจจะเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาทำให้เราระลึกจำได้ถึงสิ่งที่เราเคยทำมาก็ได้เช่นกัน
จนเกิดมาในชาตินี้ ในบางคนไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามมันแสนจะติดขัด ทำการค้า ทำบุญอะไรก็ไม่ขึ้น มีแต่เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเกิดขึ้น หรือเจ็บป่วยโดยที่ไม่มีเหตุผลหาสาเหตุไม่ได้ ที่หลายๆ คนชอบเรียกกันว่า “โรคเวรโรคกรรม” เพราะความไม่รู้จะแบ่งประเภทหาสาเหตุอะไรแล้ว มันจนหนทางที่จะเรียก จะค้นหาให้พบ ก็เลยมักง่ายเหมาเรียกไปเลยรวมๆ อย่างนั้น
ในบางคนนั้น เมื่อเจอเจ้ากรรมนายเวรเล่นหนัก โดนในหลายๆ เรื่อง จนแทบจะรับมือไม่ไหว ชีวิตมันดูมืดมนไปหมดทุกทาง มองไปทางไหนก็หาทางออกไม่ได้ คนโบราณเขาเลยเรียกว่า มัน”มืดแปดด้าน”
มืดแปดด้าน มันมืดได้ยังอย่างไร ซึ่งมันก็คือ ในความรอด ทางสว่างทุกด้านนั้น เจ้ากรรมนายเวรเขาบังหมดทุกด้าน ทั้งแปดทิศทำให้เราหาทางออกไม่ได้ ต้องทนกับความทรมานเจ็บป่วยและอุปสรรคมากเหลือเกิน จนหลายคนบอกว่ามันเกินจะทนทานแล้ว
นั่นแหละขอให้รู้เลยว่า เจ้ากรรมนายเวรเขามาถึงตัวแล้ว เขาเริ่มที่ทวงในสิ่งที่เราเคยทำกับเขา คอยขัดขวางเราเอาไว้ทุกวิธีทาง ถ้าเราโชคดีหน่อย เรารู้ตัวเร็วหรือเจอครูบาอาจารย์ที่เก่ง ท่านเมตตาช่วยชี้แนะทางให้ เราก็ควรรีบขนขนวายรีบทำรีบหาทาง ไปชดใช้หนี้ให้เขา
การทำทาน รักษาศีล การทำบุญอุทิศส่วนกุศล เป็นช่องทางสำคัญ เป็นช่องทางตรงที่จะช่วยเราได้ให้เรามีพลัง มีบุญบารมี นำไปสู่การทำสมาธิภาวนาขออโหสิกรรมที่ได้ผล
หรือที่มักเรียกการขออโหสิกรรมกันว่าการแก้กรรมนั้น เพื่อให้เข้าใจง่ายนั้น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง อีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยลดกรรมให้เบาบางลงไปได้
แต่ถ้าเราเป็นหนี้ชีวิต แล้วชาตินี้เราจะเอาชีวิตที่ไหนไปคืนให้เขาได้ ทั้งๆ ที่อยากจะชดใช้ใจจะขาดอยู่แล้ว เพราะเรารู้สำนึกแล้วว่ามันเป็นกรรม เรารู้แล้ว สัมผัสได้แล้วว่ามันเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส
เรื่องหนี้ชีวิต ก็ยังพอมีทางช่วยให้ผ่อนคลายลงไปได้บ้าง ครูบาอาจารย์สำคัญหลายท่านกล่าวตรงกันว่า มีหลายช่องทางแล้วแต่จริต แล้วแต่บุญเก่าและบุญใหม่ของคน ทั้งเรื่องการทำบุญที่มีหลากหลาย ที่มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างบุญบารมีของตัวเองให้ใหญ่ขึ้น มากขึ้น เพิ่มค่าตัว เพิ่มบุญบารมีของเรา เพื่อทำให้เรื่องกรรมที่จะได้รับจากที่หนักให้เป็นเบาขึ้น หรือการทำสมาธิแก้กรรม ขอให้อ่านอย่างให้ละเอียด ให้ต่อเนื่อง เพราะมันสำคัญมากจริงๆ กับชีวิตของเรา
เพราะในบางคนกรรมที่เจ้ากรรมนายเวรเขาคิดจะเล่นงานนั้นจริงๆ แล้ว อาจจะต้องถึงตาย แต่เราไปขออโหสิกรรมเขาได้ทันเวลา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลตรงช่องทาง เราอาจจะแค่แขนขาหัก หัวแตก ก็นับว่ายังดีที่เขายังยอมยกโทษให้บ้าง และถ้าบุญเราพอ กรรมนั้นอาจจะหักล้างกันได้ หรือทำให้กรรมนั้นตามไม่ทัน
เพราะแรงบุญนั้นเร็วกว่า และใหญ่กว่า ไม่มีอำนาจใดๆ ในโลกนี้จะมีอำนาจเท่าแรงบุญไปได้อีกแล้ว
ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเทียบให้ฟังว่า เหมือนเราใส่เกลือไว้ในแก้ว สมมติว่าเกลือนั้นคือกรรมไม่ดี และน้ำนั้นคือบุญกุศลที่ดี เมื่อเราเติมน้ำเข้าไปในแก้วเรื่อยๆ เกลือที่เค็มแสนเค็มนั้นก็จะคลายรสชาติความเค็มไปเรื่อยๆ จนเมื่อน้ำนั้นมีปริมาณที่มากกว่าเยอะ เกลือที่เค็มนั้นก็หมดรสชาติไปเลย มีแต่น้ำที่เป็นบุญล้วนๆ ที่เราสัมผัสได้
ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาทและเพื่อทำให้ชีวิตของเราและครอบครัว คนที่เรารักเป็นสุข เราก็ควรเริ่มจะทำบุญ ทำทานอุทิศส่วนกุศลที่ถูกวิธี เพื่อส่งตรงไปให้เจ้ากรรมนายเวรเขาเขา ในขณะเดียวกันกับการทำสมาธิ เพื่อขออโหสิกรรมก็ทำควบคู่กันไปด้วย ค่อยๆ ทำไปที่ละนิด ทีละน้อย สม่ำเสมออย่างจริงใจและรู้สำนึกผิดจริงๆ
เราเพียรพยามยามจนถึงวันหนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรเขาพอใจ เขาก็จะอโหสิกรรมให้เรา ก็จะรอดตัวไปพบกับความสุขหรือบุญที่รออยู่ข้างหน้าได้
และเมื่อเจ้ากรรมนายเวรเขาพอใจแล้ว เราเองก็ยังสำนึกผิดและไม่ยอมหยุดที่จะทำดีต่อเขา เมื่อเขามีบารมีมากขึ้น มีบุญมากขึ้น เขาอาจจะใจดีมากขึ้น อย่างที่เคยบอกเอาไว้แล้วว่า เขาเคยเป็นคนที่รักเรา หรืออย่างน้อยก็เคยรู้จักเรามาเป็นอย่างดี
เขาเคยช่วยเหลืออุ้มชูเรามาก่อน เมื่อเรามาทำผิด เขาจึงมีความโกรธที่รุนแรงมากกว่าปกติทั่วไป ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเรากลับตัว กลับใจ และเขาให้อภัย ให้อโหสิกรรมเราแล้ว เขาอาจจะช่วยเหลือเราให้ผ่านเรื่องสำคัญๆ ได้ในชีวิต หรือคอยอวยพร อวยชัยให้เราโชคดีได้
เหมือนกับเปลี่ยนศัตรูให้กลับมาเป็นมิตรที่ดีอีกครั้ง
และคราวนี้เขาอาจจะรักและช่วยเรามากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาเข้าใจเราดีมากยิ่งขึ้นแล้ว
อย่าไปกลัวเลยเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย


บริษัท มาการ จำกัด

88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พระประจำวันเกิด มีที่มาที่ไปอย่างไร


          พระพุทธรูปประจำวันเกิดจะมีทั้งหมด 7 ปาง ตามวันในสัปดาห์ คือ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และเสาร์ และเพิ่มปางวันพุธกลางคืน ที่เรียกว่าวันราหูเข้าไปด้วย ซึ่งพุทธศาสนิกชนคนไทยคงรู้กันดีอยู่แล้วว่า "พระประจำวันเกิด" ของตนเองคือพระพุทธรูปปางอะไร แต่เชื่อว่าหลายคนคงยังไม่รู้จักที่ไปที่มา หรือบทสวดบูชาต่างๆ
------------------------------
พระประจำวันอาทิตย์ ได้แก่ ปางถวายเนตร

   ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปที่อยู่ในพระอริยาบถยืน ลืมพระเนตรทั้งสองเพ่งไปข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาประสานกันอยู่ระหว่างพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนเหลื่อมพระหัตถ์ซ้าย อยู่ในพระอาการสังวรทอดพระเนตรดูต้นพระศรีมหาโพธิ์

ความเป็นมา

          เมื่อครั้งพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (สุขอันเกิดจากความสงบ) อยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นระยะเวลา 7 วัน จากนั้นได้เสด็จไปประทับยืน ณ ที่กลางแจ้งทางทิศอีสานของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์โดยไม่กระพริบพระเนตรเลยตลอดระยะเวลา 7 วัน ซึ่งสถานที่ประทับยืนนี้ได้มีนามปรากฏว่า "อนิมิสเจดีย์" มาจนปัจจุบัน เป็นเหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปปางนี้เรียกว่า ปางถวายเนตร นิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปเพื่อสักการะบูชาประจำของคนเกิดวันอาทิตย์ 
------------------------------
พระประจำวันจันทร์ ได้แก่ ปางห้ามญาติ หรือ ห้ามสมุทร
           ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาห้าม เป็นปางเดียวกันกับปางห้ามสมุทร ต่างกันตรงที่ปางห้ามญาติจะยกมือขวาขึ้นห้ามเพียงมือเดียว ส่วนปางห้ามสมุทร จะยกมือทั้งสองขึ้นห้าม แต่ส่วนใหญ่มักจะนิยมสร้างเป็นปางห้ามญาติ และนิยมทำเป็นแบบพระทรงเครื่อง


ความเป็นมา

          ปางห้ามญาติเกิดขึ้นเนื่องจากพระญาติฝ่ายพุทธบิดาคือกรุงกบิลพัสดุ์ และพระญาติฝ่ายพุทธมารดา คือ กรุงเทวทหะ ซึ่งอาศัยอยู่บนคนละฝั่งของแม่น้ำโรหิณี เกิดทะเลาะวิวาทแย่งน้ำเพื่อไปเพาะปลูกกันขึ้น ถึงขนาดจะยกทัพทำสงครามกันเลยทีเดียว พระพุทธองค์จึงต้องเสด็จไปเจรจาห้ามทัพ คือ ห้ามพระญาติมิให้ฆ่าฟันกัน
------------------------------
พระประจำวันอังคาร ได้แก่ ปางโปรดอสุรินทราหู หรือ ปางไสยาสน์ หรือ ปางปรินิพพาน
   
     ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถนอนตะแคงขวา พระบาททั้งสองข้างซ้อนทับเสมอกัน พระหัตถ์ซ้ายทาบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาตั้งขึ้นรับพระเศียรและมีพระเขนย (หมอน) รองรับ บางแบบพระเขนยวางอยู่ใต้พระกัจฉะ (รักแร้)

ความเป็นมา

          ปางไสยาสน์ หรือบางทีก็เรียก ปางปรินิพพาน เป็นพุทธประวัติตอนที่พระพุทธองค์ได้รับสั่งให้พระจุนทะเถระปูอาสนะลงที่ระหว่างต้นรังคู่หนึ่ง แล้วทรงประทับบรรมทมแบบสีหไสยา ตั้งพระทัยไม่เสด็จลุกขึ้นอีก แต่ก็ยังได้โปรดสุภัททะปริพาชกเป็นอรหันต์องค์สุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายพากันเศร้าโศก ร่ำไห้ คร่ำครวญถึงพระองค์ พระอานนท์และพระอนุรุทธเถระได้แสดงธรรมเพื่อปลอบโยนมหาชน พุทธศาสนิกชนเมื่อรำลึกถึงการเสด็จปรินิพพานของพระองค์ จึงได้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้น เพื่อบูชาพระพุทธองค์
------------------------------
พระประจำวันพุธ (กลางวัน) ได้แก่ ปางอุ้มบาตร  
   

 ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตรราวสะเอว
ความเป็นมา

          
เมื่อพระพุทธเจ้าได้สำแดงอิทธิปาฏิหารย์ เหาะขึ้นไปในอากาศต่อหน้าพระประยูรญาติทั้งหลาย เพื่อให้พระญาติผู้ใหญ่ได้เห็น และละทิฐิถวายบังคมแล้ว จึงได้ตรัสเทศนาเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก ครั้นแล้วพระญาติทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับโดยไม่มีใครทูลอาราธนาฉันพระกระยาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์เป็นราชโอรสและพระสงฆ์ก็เป็นศิษย์ คงต้องฉันภัตตาหารที่จัดเตรียมไว้ในพระราชนิเวศน์เอง แต่พระพุทธองค์กลับพาพระภิกษุสงฆ์สาวกเสด็จจาริกไปตามถนนหลวงในเมือง เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ (ผู้ที่พึงสั่งสอนได้)อันเป็นกิจของสงฆ์ และนับเป็นครั้งแรกที่ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้มีโอกาสชมพระพุทธจริยาวัตรขณะทรงอุ้มบาตรโปรดสัตว์ ประชาชนจึงต่างแซ่ซ้องอภิวาทอย่างสุดซึ้ง แต่ปรากฏว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาทรงทราบเข้า ก็เข้าใจผิดและโกรธพระพุทธองค์ หาว่าออกไปขอทานชาวบ้าน ไม่ฉันภัตตาหารที่เตรียมไว้ พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงอธิบายว่า การออกบิณฑบาตรเป็นการไปโปรดสัตว์ มิใช่การขอทาน จึงเป็นที่เข้าใจกันในที่สุด
------------------------------
พระประจำวันพุธ (กลางคืน)  
    

           ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถประทับ (นั่ง) บนก้อนศิลา พระบาททั้งสองวางบนดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระขนุ (เข่า) พระหัตถ์ขวาวางหงาย นิยมสร้างช้างหมอบใช้งวงจับกระบอกน้ำ อีกด้านหนึ่งมีลิงถือรวงผึ้งถวาย


ความเป็นมา

          สำหรับปางนี้กล่าวถึงเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี ครั้นนั้นพระภิกษุมีมากรูปด้วยกัน และไม่สามัคคีปรองดอง ไม่อยู่ในพุทธโอวาท ประพฤติตามใจตัว พระองค์จึงเสด็จจาริกไปอยู่ตามลำพังพระองค์เดียวในป่าที่ชื่อว่าปาลิไลยกะ โดยมีมีพญาช้างเชือกหนึ่งชื่อ "ปาลิไลยกะ" เช่นเดียวกัน มีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ มาคอยปฏิบัติบำรุงและคอยพิทักษ์รักษามิให้สัตว์ร้ายมากล้ำกราย ทำให้พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ในป่านั้นด้วยความสงบสุข และป่านั้นต่อมาก็ได้ชื่อว่า "รักขิตวัน" ครั้นพญาลิงเห็นพญาช้างทำงานปรนนิบัติพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ก็เกิดกุศลจิตทำตามอย่างบ้าง ต่อมาชาวบ้านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ไม่พบ และทราบเหตุ ก็พากันตำหนิติเตียน และไม่ทำบุญกับพระเหล่านั้น พระภิกษุเหล่านี้จึงได้สำนึก ขอให้พระอานนท์ไปทูลเชิญเสด็จพระพุทธองค์กลับมา ช้างปาลิไลยกะก็มาส่งเสด็จด้วยความเศร้าเสียใจ จนหัวใจวายล้มตายไป ด้วยกุศลผลบุญจึงได้ไปเกิดเป็น "ปาลิไลยกะเทพบุตร" ------------------------------
พระประจำวันพฤหัสบดี ได้แก่ ปางสมาธิ หรือ ปางตรัสรู้   
    

           ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองวางหงายซ้อนกันบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย พระชงฆ์ (แข้ง) ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย

ความเป็นมา

          ปางตรัสรู้ คือ ปางที่เจ้าชายสิทธัตถะหรือพระโพธิสัตว์ทรงประทับขัดสมาธิบนบัลลังก์หญ้าคาใต้ต้นมหาโพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา และได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ซึ่งก็ตรงกับวันวิสาขบูชานั่นเอง

พระประจำวันศุกร์ ได้แก่ ปางรำพึง   
    

          ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประสานกันยกขึ้นประทับที่พระอุระ (อก) พระหัตถืขวาทับพระหัตถ์ซ้าย

ความเป็นมา
          ภายหลังจากที่ตรัสรู้ได้ไม่นาน พระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ภายใต้ต้นไทร (อชปาลนโครธ) ก็ได้ทรงรำพึงพิจารณาถึงธรรมที่ตรัสรู้ว่าเป็นธรรมที่มีความละเอียดลึกซึ้ง ยากที่มนุษย์ปุถุชนจะรู้ตามได้ จึงเกิดความท้อพระทัยที่จะไม่สั่งสอนชาวโลก ด้วยรำพึงว่าจะมีใครสักกี่คนที่ฟังธรรมะของพระองค์เข้าใจ ร้อนถึงท้าวสหัมบดีพรหมได้มากราบทูลอาราธนาเพื่อทรงแสดงธรรมว่าในโลกนี้บุคคลที่มีกิเลสเบาบางพอฟังธรรมได้ยังมีอยู่ พระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาแล้วก็เห็นชอบด้วย อีกทั้งทรงรำพึงถึงธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน ว่าตรัสรู้แล้วก็ย่อมแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนทั้งปวง จึงได้น้อมพระทัยในอันที่จะแสดงธรรมต่อชาวโลกตามคำอาราธนานั้น และตั้งพุทธปณิธานจะใคร่ดำรงพระชนม์อยู่จนกว่าจะได้ประกาศพระพุทธศาสนา ให้แพร่หลายประดิษฐานให้มั่นคงสำเร็จประโยชน์แก่ชนนิกรทุกหมู่เหล่าต่อไป พระพุทธจริยาที่ทรงรำพึงถึงธรรมที่จะแสดงโปรดชนนิกรผู้เป็นเวไนยบุคคลนั้นแล เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า ปางรำพึง
------------------------------
พระประจำวันเสาร์ ได้แก่ ปางนาคปรก  
   

          ลักษณะพระพุทธรูป : พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ หงายพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายเหมือนปางสมาธิ แต่มีพญานาคขนดร่างเป็นวงกลมเป็นพุทธบัลลังก์และแผ่พังพานปกคลุมอยู่เหนือพระเศียร

ความเป็นมา

          เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ และประทับบำเพ็ญสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอันเกิดจากความพ้นกิเลสอยู่ ณ อาณาบริเวณที่ไม่ไกลจากต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งละ 7 วันนั้น ในสัปดาห์ที่ 3 นี้เอง ก็ได้ไปประทับใต้ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก) ขณะนั้นฝนได้ตกลงมาไม่หยุด พญานาคตนหนึ่งชื่อ "มุจลินท์นาคราช" ก็ได้ขึ้นมาแสดงอิทธิฤทธิ์เข้าไปวงขนด 7 รอบ แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าไว้มิให้ฝนตกต้องพระวรกาย เหมือนกั้นเศวตฉัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์มิให้ฝนและลมหนาวสาดต้องพระวรกาย ทั้งป้องกันเหลือบ ยุง บุ้ง ร่าน ริ้น และสัตว์เลื้อยคลานทั้งมวลด้วย จนฝนหาย จึงได้แปลงร่างเป็นมาณพเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์
พระประจำวัน 9 นิ้ว-พลังทิพย์








บริษัท มาการ จำกัด
88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เทียนพรรษา และ เทียนจำนำพรรษาต่างกันอย่างไร? แล้วทำไมจึงต้องมีเทียนจำพรรษา

“เทียนพรรษา” 
ใกล้เข้าพรรษา เริ่มจะมีกิจกรรมบุญพิเศษ คือถวาย “เทียนพรรษา”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เทียนพรรษา เป็นมาอย่างไร
พระสงฆ์ที่อยู่ตามวัดต่างๆ มีกิจวัตรสำคัญอยู่อย่างหนึ่งคือไหว้พระสวดมนต์ หรือที่เรียกกันว่า “ทำวัตรสวดมนต์” ปกติจะทำวันละ ๒ เวลา คือเช้ากับเย็น ดังเป็นที่รู้กันในนามว่า ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น
เครื่องสักการะที่ใช้ในการทำวัตรสวดมนต์ก็คือ ธูป และ เทียน ซึ่งมักมีประจำอยู่แล้ว ส่วน ดอกไม้ นั้นย่อมเป็นไปตามโอกาสที่ญาติโยมจะถวายมา วันไหนไม่มีดอกไม้ก็จุดแต่ธูปกับเทียน
เครื่องสักการะเช่นนี้ ชวนให้นึกถึงอารัมภกถา หรือบทนำก่อนทำวัตรตอนหนึ่งที่ว่า อิเม สักกาเร ทุคคะตะปัณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับเครื่องสักการะเหล่านี้อันเป็นบรรณาการของคนยาก หมายความว่า ดอกไม้ธูปเทียนนั้นเป็นของตามแต่จะได้มา ได้มาอย่างไรหรือมีอย่างไร ก็ใช้อย่างนั้น ไม่มีก็ไม่ใช้ จึงอยู่ในลักษณะเป็น “บรรณาการของคนยาก”
ช่วงเข้าพรรษา เป็นระยะที่มีพระภิกษุสามเณรอยู่พร้อมกันมากกว่าเวลาอื่น ถือเป็นโอกาสที่จะเร่งพากเพียรปฏิบัติขัดเกลาให้มากขึ้นเป็นพิเศษ จึงเป็นธรรมเนียมที่วัดต่างๆ จะทำวัตรสวดมนต์เพิ่มขึ้นอีกเวลาหนึ่ง นิยมทำตั้งแต่เวลาตีสี่ จนมีคำพูดติดปากว่า “ตีสี่เคาะระฆัง” การทำวัตรสวดมนต์ตอนตีสี่นี้ต้องใช้ประทีปทั้งในฐานะเป็นเครื่องสักการบูชา และเพื่อแสงสว่าง ความจำเป็นที่จะต้องใช้ประทีปจึงมีเพิ่มขึ้น ญาติโยมพุทธบริษัทเล็งเห็นประโยชน์ข้อนี้จึงคิดทำประทีปถวายเพื่อใช้ในระหว่างพรรษา
ตกมาถึงตอนนี้ ลักษณะของประทีปที่นิยมทำกันมากจนลงตัวแล้วก็คือ เทียน เนื่องจากผลิตง่าย ใช้สะดวก (คำว่า “ดอกไม้ธูปเทียน” ก็คงพูดกันติดปากมาตั้งแต่นั้น)
เทียนที่ทำถวายเพื่อใช้ในระหว่างพรรษา จึงเรียกกันสั้นๆ ว่า “เทียนพรรษา” จนกระทั่งเกิดเป็นประเพณีหล่อเทียนพรรษา แห่เทียนพรรษา ถวายเทียนพรรษาอยู่ในปัจจุบันนี้
“เทียนพรรษา”
แต่เดิม “เทียนพรรษา” ซึ่งตัดมาจากคำว่า “เทียนที่ทำถวายเพื่อให้พระสงฆ์จุดใช้ทำกิจวัตรในระหว่างพรรษา”
แต่ปัจจุบันมีการเอาคำว่า “จำนำ” มาแทรกเพิ่มเข้าด้วยเหตุไร ก็ยังไม่พบคำอธิบาย
สันนิษฐานว่าคงเรียกด้วยความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด คือไปคิดเทียบกับ “ผ้าจำนำพรรษา” ซึ่งนิยมถวายในวาระเข้าพรรษาเหมือนกัน เมื่อเรียก “ผ้าจำนำพรรษา” ได้ ก็เลยเรียก “เทียนจำนำพรรษา” ไปด้วย เข้าชุดกันพอดี
เรื่องก็คือ วันเข้าพรรษาหรือก่อนวันเข้าพรรษา เราจะมีประเพณีถวาย ผ้าอาบน้ำฝน เป็นผ้าสำหรับพระสงฆ์นุ่งสรงน้ำ ประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ ก็คล้ายกับผ้าขาวม้าของชาวบ้านนั่นเอง มักเรียกสั้นๆ ว่า “ผ้าอาบ”
แต่เรื่อง “ผ้าจำนำพรรษา” ก็ยังมีข้อผิดติดอยู่ สมควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
๑. ผ้าจำนำพรรษา คือผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้วในวัดนั้น ถ้าเป็นวัดที่ไม่ได้รับกฐิน ก็ถวายตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งเดือน ๑๑ ถึงเพ็ญเดือนสิบสอง (คือเดือนเดียว), ถ้าได้รับกฐิน ก็ถวายตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งเดือน ๑๑ ไปจนหมดฤดูหนาวคือถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ (รวม ๕ เดือน) เรียกเป็นคำศัพท์ว่า วัสสาวาสิกสาฏิกา หรือ วัสสาวาสิกสาฎก 
ผ้าชนิดนี้เป็นผ้าที่ถวายหลังจากออกพรรษาแล้ว แต่ไม่ใช่ผ้ากฐิน เป็นผ้าที่ถวายเป็นส่วนตัวแก่ภิกษุแต่ละรูปเพื่อผลัดเปลี่ยนจีวรชุดเก่าที่ใช้มาตลอดพรรษา มีประโยชน์ใช้สอยเหมือนผ้ากฐินนั่นเอง แต่คนส่วนมากไม่รู้จักและไม่ค่อยได้นึกถึง เพราะมัวไปมุ่งถวายผ้ากฐิน (สำหรับภิกษุรูปเดียว) เสียหมด ลืมนึกถึงภิกษุรูปอื่นๆ ที่ไม่ใช่องค์ครองกฐินไปเสีย
ปัญหาเกิดขึ้นตรงที่ว่า ผ้าจำนำพรรษา เรียกเป็นคำศัพท์ว่า ผ้า "วัสสาวาสิกสาฏิกา" หรือ "วัสสาวาสิกสาฎก" รูปคำและเสียงคล้ายกับผ้าอาบน้ำฝน ที่เรียกเป็นคำศัพท์ว่า "วัสสิกสาฏิกา" หรือ "วัสสิกสาฎก" จึงทำให้คนเข้าใจไปว่าผ้าอาบน้ำฝนกับผ้าจำนำพรรษาเป็นผ้าชนิดเดียวกัน มักได้ยินเรียกย้ำผิดๆ อยู่เสมอ เช่นพูดว่า “วันนี้เป็นวันถวายผ้าจำนำพรรษาหรือที่เรารู้จักกันว่าผ้าอาบน้ำฝน”
จำไว้สั้นๆ กันเข้าใจผิด ว่า
ผ้าที่ถวายก่อนเข้าพรรษา เรียก “ผ้าอาบน้ำฝน”
ผ้าที่ถวายหลังจากออกพรรษา เรียก “ผ้าจำนำพรรษา”
ผ้าอาบน้ำฝนไม่ใช่ผ้าจำนำพรรษา
ผ้าจำนำพรรษาก็ไม่ใช่ผ้าอาบน้ำฝน
คำว่า “จำนำ” ทำให้มีเรื่องขำๆ ต่อไปอีก
สมัยที่ผมเป็นเด็กวัด ได้เห็นญาติโยมที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนที่เข้าใจว่าเป็น “ผ้าจำนำพรรษา” ให้แก่พระรูปใดแล้ว พอออกพรรษาก็จะเอาจตุปัจจัย (เงิน) มาถวายพระรูปนั้นโดยมีเจตนาว่าเป็นค่าไถ่ถอนผ้าที่เอามา “จำนำ” ไว้
มองในแง่ความเข้าใจ ก็คือ
๑ คนส่วนมากเข้าใจไปว่า “ผ้าอาบน้ำฝน” เป็น “ผ้าจำนำพรรษา”
๒ ซ้ำเข้าใจลึกลงไปอีกว่า การเอา “ผ้าจำนำพรรษา” ไปถวายพระ ก็เท่ากับเอาของไป “จำนำ” ไว้
๓ ดังนั้น เมื่อครบกำหนด “พรรษา” แล้ว จึงมีภาระที่จะต้องไปไถ่ถอนคืนด้วยการเอาจตุปัจจัยไปถวายพระที่รับ “ผ้าจำนำพรรษา” นั้นไว้
แต่มองในแง่ดี ก็ดี คือญาติโยมจะเข้าใจผิดถูกอย่างไรก็ตามทีเถิด ก็ยังถือเป็นโอกาสที่จะได้บำเพ็ญบุญเพิ่มขึ้น นับว่าดีอยู่นั่นเอง
แต่ถ้าเข้าใจให้ถูกต้องด้วยก็จะยิ่งเป็นกุศลเพิ่มขึ้น และเป็นดีบริสุทธิ์
ความจริง คำว่า “จำนำ” แผลงมาจาก “จำ”
“จำนำพรรษา” ก็คือ “จำพรรษา” นั่นเอง
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจำนำจำนอง คือที่เอาของไปจำนำแต่ประการใดเลย
“ผ้าจำนำพรรษา” ก็คือคำที่พูดลัดตัดสั้นมาจากคำว่า “ผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้ว”
พระที่จำพรรษา (“จำนำพรรษา”) แล้ว จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนจีวรชุดเก่าที่ใช้มาเป็นเวลา ๓ เดือนแล้ว การเรียกผ้าที่ถวายแก่ท่านว่า “ผ้าจำนำพรรษา” (โปรดอย่าลืมว่าไม่ใช่ “ผ้าอาบน้ำฝน”) จึงเป็นการถูกต้องสมเหตุสมผล
แต่ “เทียนพรรษา” คือ “เทียนที่ถวายเพื่อให้พระสงฆ์จุดใช้ทำกิจวัตรในระหว่างพรรษา”
ถ้าไปเรียกว่า “เทียนจำนำพรรษา” จะให้หมายความว่า “เทียนที่ถวายให้พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้ว” 
จะเห็นได้ว่า
เวลานี้ แม้แต่คำว่า “จำนำ” ในคำว่า “จำนำพรรษา” นั่นเอง ก็มีปัญหาน่าสงสัยว่า คนส่วนใหญ่จะเข้าใจกันไปว่ามีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า “จำนำ” ที่หมายถึงเอาของไปวางแล้วเอาสตางค์เขามาใช้ ตามที่มักจะเข้าใจและรู้สึกกันว่าเป็นเช่นนั้น แทนที่จะเข้าใจว่า จำนำพรรษา คือ จำพรรษา


บริษัท มาการ จำกัด

88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทำไมต้องใช้ดอกบัวไหว้พระ?

เหตุผลที่ใช้ดอกบัว ไหว้พระ

                         
ดอกบัวนั้นเราใช้บูชาพระกันมานานแล้ว เพราะถือว่าเป็นดอกไม้สำหรับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะคติอันนี้คงจะสืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์อีกทางหนึ่งด้วย เพราะปรากฏว่าเทพเจ้าของพราหมณ์หลายองค์ก็เกิดจากดอกบัวและถือดอกบัวเพราะถือว่าดอกบัวคือแผ่นดิน คือเป็นสิ่งแทนพื้นพิภพนั่นเองถ้าจะสืบขึ้นไปถึงในสมัยโบราณ ก็จะพบว่าอียิปต์นิยมดอกบัวมาก ถึงกับประดิษฐ์เป็นลายหัวเสาในงานสถาปัตยกรรม แม้ภาพสลักภาพเขียนตามผนังก็มีภาพสตรีถือดอกบัว และทำท่ายื่นดอกบัวให้กัน แสดงว่าแต่ก่อนคงอุดมสมบูรณ์มาก ความบันดาลใจที่ได้รับจากดอกบัวจึงทำให้เกิดแบบอย่างทางศิลปะมาแต่นั้น ส่วนกรีก โรมัน ไม่ปรากฏว่ามีดอกบัวมากเหมือนอียิปต์ แม้ว่าศิลปะในระยะแรกจะได้รับอิทธิพลของอียิปต์ก็ตาม แต่การประดิษฐ์ดอกบัวในงานศิลปะกลับมาปรากฏในอินเดียมากที่สุด แล้วแพร่สะพัดมาทางประเทศเอเชียตะวันออกทั้งหมด หรืออาจจะประจวบเหมาะที่แผ่นดินส่วนนี้มีบัวนานาพันธุ์ก็อาจเป็นได้ ดังนั้นดอกบัวจึงเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์อีกด้วยคติการนำดอกบัวมาบูชาพระนั้น

                   มีเหตุหนึ่งจากที่ดอกบัวเป็นอุทาหรณ์แห่งเนื้อนาบุญที่อุดหนุนกันทั้งชาตินี้และชาติหน้าดังคำที่ว่า "ย่อมอาศัยเปือกตมและน้ำเป็นที่เกิด" อีกประการหนึ่ง ดอกบัวจะสวยงามและสดชื่นเมื่อได้น้ำใสสะอาด เป็นอุทาหรณ์ว่า ความสะอาดหมดจดย่อมให้ผลงามดังดอกบัวและที่ต้องเอาบัวตูมไปบูชานั้นก็เพราะถือกันว่า เพื่อให้พระพุทธเจ้าโปรด ดังที่พระพุทธองค์ทรงปรารภว่า สัตว์โลกมีอยู่สี่เหล่า ดังดอกบัวสี่ชนิด คือ ดอกบัวบาน ดอกบัวใกล้จะบานดอกบัวในน้ำ และดอกบัวที่เพิ่งเกิด การนำดอกบัวตูมใกล้จะบานไปบูชาก็เป็นดังประกาศว่าตนเองนี้มีหมายคือโสดาบุคคลคือจะบานในวันหน้า ไม่มีใครนำดอกบัวบานแล้วไปบูชา (คงเกรงว่าจะโรยเร็ว) หรือถ้าจะประดิษฐ์บัวตูมโดยจัดกลีบให้แย้มเห็นเกสรก็ยังไม่นับว่าเป็นบัวบาน เพราะยังไม่ถึงอายุที่ดอกบัวจะบาน แต่คนเขาเร่งให้บานเองต่างหาก คิดไปคิดมาก็เข้าคติ “ดอกไม้แรกแย้ม" ที่แทบทุกชาติในโลกเห็นพ้องกันว่า หมายถึงความสดชื่นแจ่มใส ดังคำว่า “Blossom" ถ้าเปรียบเป็นคนก็เหมือน “แตกเนื้อสาว” คติการทำให้ดอกบัวเป็น “แรกแย้ม" จึงน่าจะเป็นความมุ่งหมายที่ว่า “พุทธศาสนิกชนเป็นผู้พร้อมที่จะเข้าถึงทางแห่งโสดาทั้งนั้น” แต่การนำดอกไม้บูชาพระนี้ จัดเข้าในพวก “อามิสบูชา" ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ “ปฏิบัติบูชา" ดังนั้นการบูชาด้วยดอกบัวอย่างเดียวจะบรรลุโสดาไม่ได้ จะต้องปฏิบัติตนตามพระพุทธวจนะอีกด้วย เมื่อดอกบัวมีความนิยมเช่นนี้ จึงเกิดการประดิษฐ์ดอกบัวเป็นรูปต่าง ๆ ในงานศิลปะ เป็นสิ่งเชิดชูศาสนา ซึ่งมีทั้งชนิดดอกตูมดอกบาน และก็ได้เลือกประดิษฐ์ให้เหมาะกับดอกบัวแต่ละชนิด ลวดลายบางอย่างก็อาศัยกลีบบัวเป็นหลัก จึงมีชื่ออยู่ในลายไทยหลายอย่าง เช่น บัวคว่ำ-บัวหงาย บัวแก้ว บัวกระจัง-บัวกระหนก บัวกลุ่ม บัวจงกล





บริษัท มาการ จำกัด

88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เสือคาบดาบ มีไว้เพื่อ?

กระจกเสือคาบดาบกระจกแปดเหลี่ยม


                   การติดกระจกที่มีเสือคาบดาบ ผู้รู้ในศาสตร์ฮวงจุ้ยและปรัชญาจีนโบราณได้กล่าวไว้ว่า ความเชื่อที่ว่าเสือเป็นสัตว์ที่มีพลังอำนาจในตัวเองนั้นเกิดจากท่านจางเทียนซือ ผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า ท่านผู้ตามตำนานว่า ท่านผู้นี้มีเสือโคร่งเป็นพาหนะเพื่อออกไปปราบปรามภูติผีปีศาจร้าย ประกอบกับบนหน้าผากของเสือนั้นมีรอยเป็นตัวอักษรที่อ่านว่าหวาง ซึ่งแปลว่าเจ้าอย่างชัดเจน
เหตุนี้ชาวจีนโบราณจึงเชื่อว่าเสือสามารถปราบปรามภูติผีได้ ในเดือน 5 ของจีน ซึ่งตรงกับเดือน มิ.ย. จะเป็นวันปล่อยผีให้กลับมาเยี่ยมญาติพี่น้องของตนเอง ตามบ้านเรือนจึงนิยมนำรูปเสือมาประดับประดาบ้านเพื่อเป็นเครื่องรางป้องกันพลังร้าย
                 ในทางฮวงจุ้ยถือว่าเมื่อจะทำการติดกระจกที่มีเสือคาบดาบนั้นต้องติดให้ถูกต้อง ไม่หันไปประจันหน้ากับบ้านใคร และกระจกนั้นต้องผ่านการเบิกเนตรอย่างถูกต้อง ตามพิธีกรรมโบราณเมื่อจะทำการต้องนำหมูสามชั้นที่มีเลือดติดมาป้ายที่ปากของเสือคาบดาบ เชื่อว่าในทุกปีราวเดือน ก.พ. เป็นเดือนที่เสืออ้าปาก หากกระจกเสือคาบดาบได้ทำการเบิกเนตรในเดือนที่เสืออ้าปากจะมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งหากกระทำในวันขาลไม่ถูกกับวอก และเวลาขาลราว 03.00-04.59 น. ด้วยแล้ว กระจกเสือคาบดาบจะมีพลังมากขึ้น เมื่อนำหมูสามชั้นดิบเช็ดที่ปากเสือคาบดาบ 3 ครั้ง ให้ตั้งจิตจนมองเห็นว่าเสือตัวนั้นมีชีวิตขึ้นมา แล้วจึงทำการเช็ดปากเสือด้วยกระดาษไหว้เจ้า เมื่อเช็ดเสร็จแล้วก็จะนำกระดาษนั้นไปเผาไฟ และหาวันติดตั้งให้ถูกต้องต่อไป
                 กระจกนูน ตามคุณสมบัติของกระจกนูนนั้นคือจะทำให้ภาพที่ปรากฏบนกระจกขยายออกด้านข้างทั้ง 2 ข้าง เหตุนี้กระจกนูนจึงเป็นเครื่องมือในการปรับแก้ไขฮวงจุ้ย โดยเฉพาะในสถานที่ๆมีลักษณะถนนพุ่งตรง ทางสามแพร่ง มุมแหลมของตึกที่พุ่งมาใส่ ทางโค้งก็นิยมใช้ แต่มีข้อพึงระวังต้องดูว่าโค้งนั้นเป็นทิศร้ายหรือไม่ หากนำกระจกนูนไปติดในทิศร้าย/จะมีผลร้ายทวีคูณ กระจกเว้า ตามคุณสมบัติของกระจกเว้าคือทำให้ภาพที่ตกกระทบดูเล็กลงเหมือนถูกดูดเข้าไป เหตุนี้จึงนิยมใช้กันมาก แต่ควรจะเป็นภายนอกอาคารเท่านั้น มักจะนำไปติดในทางที่มีถนนพุ่งตรงเข้าใส่ หรือที่เรียกว่าทางศรพิฆาต บ้านที่ตรงกับบ้านร้าง หรือหันไปเจอปล่องเมรุ


บริษัท มาการ จำกัด
88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200




วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การทำภาพ นูนสูง



การปั้น

                การปั้นเป็นกระบวนการหนึ่งในงานประติมากรรมที่มีลักษณะเป็น  3  มิติ  คือ  มีความกว้าง  ความยาว  และความหนา  ผู้ชมสามารถจับต้องหรือสัมผัสได้  ทั้งนี้การปั้นจะกระทำได้โดยนำส่วนย่อยพอกเพิ่มเข้าไปในส่วนรวมเพื่อให้เกิดรูปทรงตามต้องการ
                การปั้นมีประวัติความเป็นมาพร้อม ๆ กับงานจิตรกรรมตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  อีกทั้งยังพบว่าการปั้นมักจะทำควบคู่กับการหล่อเสมอ  ในการปั้นแต่ละครั้งผู้พยายามถ่ายทอดสิ่งที่เป็นความคิดหรือมโนภาพออกมาเป็นรูปร่างลักษณะที่สัมผัสได้จริง  ซึ่งผู้ที่จะทำการปั้นให้ได้ผลดีนั้นจะต้องศึกษากระบวนวิธีการปั้น  รวมทั้งสามารถเลือกใช้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่มีอยู่หลายชนิดได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับงานนั้น ๆ
ความหมายและความเป็นมาของการปั้น
                การปั้นหมายถึงการนำเอาวัสดุที่มีเนื้ออ่อน  เช่น  ขี้ผึ้ง  ดินเหนียว  ดินน้ำมีมัน  ที่สามารถเปลี่ยนรูปได้  มาผ่านกระบวนการในการเพิ่มวัสดุให้เกิดเป็นรูปทรงตามต้องการ  โดยใช้มือและวัสดุอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ ช่วยในการสร้างงานปั้น  นอกจากนี้  งานปั้นยังเป็นงานศิลปะที่สามารถสัมผัสกับส่วนตื้น  ลึก  หนา  บางได้ตามความเป็นจริง  ไม่เหมือนงานจิตรกรรมที่มีลักษณะเป็น  2  มิติ  ที่ผู้ชมจะสัมผัสกับความตื้นลึก หนา  หรือบางได้จากความรู้สึกเท่านั้น
ความเป็นมาของการปั้น
                การปั้นมีประวัติความเป็นมาพร้อม ๆ กับงานจิตรกรรมที่ปรากกเป็นหลักฐานขึ้นในแต่ละภูมิภาคของโลก  โดยเฉพาะในสมัยก่อนประวัติศาสตร์  ในยุคหินเก่ามนุษย์เริ่มรู้จักการขูดขีดจากนั้นจึงพัฒนามาเป็นการแกะสลักตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้สวยงามเช่นการสร้างอาวุธและเครื่องมือเพื่อการดำรงชีวิต  ต่อมาได้นำวิธีการเหล่านี้มาใช้ในการสร้างงานประเภทประติมากรรม
                อย่างไรก็ตาม  บริเวณหรือสถานที่ที่มีการค้นพบภาพจิตรกรรมฝาผนังก้จะมีการค้นพบภาพปั้นและการแกะสลักรวมอยู่ด้วย  นอกจากนี้จุดมุ่งหมายของการสร้างภาพปั้นและแกะสลักมีจุดประสงค์คล้ายคลึงกับงานจิตรกรรมคือสร้างขึ้นตามความเชี่ออันเร้นลับ  ตามปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ  การนับถือภูมิผีปีศาจ  และต่อมาคลี่คลายมาสู่ศาสนา  ปรัชญาและศิลปะสาขาต่าง ๆ
ประเภทของการปั้น
การปั้นโดยทั่วไป  แบ่งได้เป็น  3  ประเภท
1.การปั้นแบบลอยตัว  (Round  - relief)  การปั้นแบบลอยตัว  เป็นการปั้นที่สามารถมองเห็นได้ทุกด้านโดยรอบ  ปกติจะมีฐานอยู่เพื่อให้ตั้งกับพื้นได้  พบเห็นมากในการสร้างอนุเสาวรีย์และรูปเคารพต่าง ๆ ลักษณะการปั้นมีทั้งขนาดเท่าของจริง  และใหญ่กว่าของจริง  แต่ที่สำคัญจะต้องยึดถือความเหมือนต้นแบบให้มากที่สุด  เช่น  พระบรมรูปทรงม้า  รูปปั้นศาสตราจารย์ศิลป  พีระศรี  เป็นต้น
2.  การปั้นแบบนูนสูง  (High  - relief)  การปั้นแบบนูนสูง  เป็นการปั้นที่มีแผ่นหลังรองรับและมีส่วนที่นูนสูงขึ้น มาจากแผ่นพื้นหลังมากกว่าปั้นนูนต่ำความนูนสูงของรูปปั้นนูนสูงจะแตกต่างกันไปมากบ้าง  น้อยบ้างตามจุดประสงค์ของการปั้นนั้น ๆ   การสร้างสรรค์งานปั้นแบบนูนสูงนี้จะต้องให้เกิดความงามทางด้านหน้าและด้านข้าง  เช่น  รูปปั้นบริเวณฐานของอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย  รูปปั้นนูนสูงประดับฝาผนังต่าง ๆ เป็นต้น
3.การปั้นแบบนูนต่ำ  (Low - relief)  การปั้นแบบนูนต่ำ  เป็นการปั้นที่จะต้องมีแผ่นหลังรองรับและนูนสูงขึ้นมาจากพื้นเพียงเล็กน้อย  มองเห็นเพียงด้านหน้าเพียงด้านเดียว  การสร้างสรรค์งานปั้นแบบนูนต่ำนี้จะต้องทำให้เกิดความงามเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น เช่น  เหรียญบาท  เหรียญตรา  เหรียญรูปพระ  เป็นต้น(สุชาติ  เถาทองสังคม  ทองมี,ธำรงศักดิ์  ธำรงเสิศฤทธิ์รอง  ทองดาดาษ  พิมพ์ ครั้งที่  1  หน้า 76)
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการปั้นและวิธีการเก็บรักษาเครื่องมือ



วัสดุที่ใช้กับงานปั้น
                การปั้นเป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะที่ต้องใช้วัสดุที่มีความเหนียวและนิ่ม  วัสดุที่นำมาปั้นจะต้องสามารถยึดจับเป็นก้อนหรือเกาะตัวเป็นแท่งและทรงตัวอยู่ได้ตลอดที่ปั้น  รวมทั้งต้องมีความคงทนไม่แตกสลายได้ง่ายทั้งในขณะปั้นและเมื่อปั้นเสร็จแล้ว   วัสดุที่ใช้ในการปั้นมีหลายชนิด  เช่น  ดินเหนียว  ดินน้ำมัน  ขี้ผึ้ง  ขี้เลื่อยผสมกาว  กระดาษแช่น้ำจนเปื่อยยุ่ยผสมกาว  แป้งขนมปัง  เป็นต้น  แต่วัสดุที่หาง่ายและราคาถูกเหมาะสมกับนักเรียน  มีดังต่อไปนี้
1.  ดินเหนียว  เป็นวัตถุดิบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  มีอยู่แทบจะทุกท้องถิ่นและมนุษย์ก็เริ่มรู้จักนำดินเหนียวมาใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยโบราณ  ทั้งนี้เพราะดินเหนียวมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการนำมาปั้นให้เกิดรูปทรงใหม่ ๆ ได้ตามต้องการ  มีความเหนียว  มีการอ่อนตัวเมื่อถูกน้ำ   และมีความแข็งเมื่อแห้ง  ซึ่งการจะนำดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปนั้นจะต้องมีการเตรียมดิน  โดยเริ่มจากการคัดสิ่งที่ปะปนมากับดินออกให้หมดเสียก่อน  ถ้าดินแห้งเป็นก้อนแข็งก็ต้องนำไปแช่น้ำให้ชุ่มแล้วนวด  แต่ต้องระวังอย่าผสมน้ำจนเหลว  ดินเหนียวที่ปั้นขึ้นรูปได้ดีต้องมีเนื้อดินที่หมาดและนิ่ม
2.  ดินน้ำมันหรือขี้ผึ้ง  การนำวัสดุประเภทดินน้ำมันหรือขี้ผึ้งมาใช้กับงานปั้น  ไม่ต้องมีการเตรียมล่วงหน้า  เพราะวัสดุทั้งสองนี้ได้ผ่านการผสมและการเตรียมมาดีแล้ว  แต่หากดินน้ำมันหรือขี้ผึ้งอยู่ในสภาพแข็งเกินไป  ก็ให้นำไปตากแดดหรือนวดสักเล็กน้อยก็จะนิ่มได้พอดี
อุปกรณ์ที่ใช้กับงานปั้น
อุปกรณ์ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการปั้น  โดยทั่วไปจะมี  2  ลักษณะดังนี้
1.  แบบลวดเหล็กหรือทองเหลือง  จะมีลักษณะเป็นห่วงกลม ๆ หรือโค้งมนอยู่ที่ปลายด้ามไม้ทั้ง ข้าง มีหลายชนิด  เครื่องมือชนิดนี้ใช้สำหรับการขึ้นรูป  ขูด  เกลา  ควัก  และตกแต่งรายละเอียดต่าง ๆ บางชนิดมีลวดเหล็กหรือลวดทองเหลืองอยู่ที่ปลายไม้เพียงข้างเดียว  ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นไม้หน้าแบนตัดเฉียงประมาฯ  45  องศา  หรือหน้าตัดกว้าง  30  องศา
2.  แบบที่ทำด้วยไม้ทั้งด้าม  มีหลายลักษณะและหลายขนาด  ซึ่งจะมีปลายด้านหนึ่งเป็นไม้หน้าแบนตัดเฉียงประมาณ  45  องศา  หรือหน้าตัดตรง  90  องศา  ส่วนอีกด้านหนึ่งจะมีปลายขนาดเล็กกว่า  มีลักษณะกลมมน เครื่องมือชนิดนี้ใช้สำหรับตัดเฉือนปาดผิวดินให้เรียบ  หรือทำให้เกิดเป็นลักษณะผิว  ตลอดจนใช้ตกแต่งรายละเอียดต่าง ๆ
การเก็บรักษาเครื่องมือ
                เครื่องมือปั้นจะมีขนาด  รูปร่างหลาย ๆ ลักษณะ  และมีวิธีการนำไปใช้ต่าง ๆกัน  เครื่องมือบางชนิดทำด้วย  บางชนิดทำด้วยโลหะผสมกัน  บางครั้งจะมีความเปราะบางไม่แข็ง  ดังนั้นการเก็บรักษาหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว สามารถทำได้โดยการนำเครื่องมือมาล้างทำความสะอาดเอาเศษดินและสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ออก  ถ้าเป็นเครื่องมือแบบลวดหรือทองเหลืองจะต้องดูแลรักษาอย่าให้ขึ้นสนิมด้วยการใช้น้ำมันทาก่อนเก็บเข้าที่เครื่องมือหลังจากปฏิบัติงานแล้วควรเก็บใส่กล่องให้เรียบร้อยหรือแขวนไว้ข้างฝาให้เป็นระเบียบก็ได้  เพื่อความสะดวกในการใช้งานครั้งต่อไป 
ขั้นตอนและวิธีการปั้นใมนลักษณะต่าง ๆ
                วิธีการปั้นหรือเรียกว่ากระบวนการในทางบวก  (additive  process)  จะตรงกันข้ามกับวิธีแกะสลัก  เพราะการปั้นเป็นการนำเอาส่วนย่อยเข้าไปเพื่อให้ได้รูปทรงเป็นส่วนรวม  วิธีการปั้นเหมาะสำหรับวัสดุที่มีคุณภาพเปลี่ยนแปลงได้  เช่น  การปั้นดินเหนียว  ดินน้ำมันหรือขี้ผึ้ง  เป็นต้น  วัสดุบางชนิดเมื่อปั้นเสร็จแล้วมักจะนำไปหล่อหรือเผาตามคุณสมบัติของวัตถุนั้น ๆ ดังนั้น  ผู้ปั้นจะต้องมีความเข้วใจวัสดุและกรรมวิธีปฏิบัติงาน  จึงจะสามารถลงมือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์  ซึ่งขั้นตอนที่สำคัญ  มีดังนี้  (สุชาติ  เถาทองสังคม  ทองมี,ธำรงศักดิ์  ธำรงเสิศฤทธิ์รอง  ทองดาดาษ  พิมพ์ ครั้งที่  1  หน้า 78)
1. การปั้นรูปแบน
                ขั้นที่หนึ่ง  จะต้องเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการปั้นให้พร้อมก่อน  เช่น  ดินเหนียว  ชชุดเครื่องมือปั้น  กระดานรองปั้น  เป็นต้น
                ขั้นที่สอง  นำดินที่จะใช้ในการปั้นมานวดให้เข้ากัน  แต่ต้องเลือกเศษวัสดุแปลกปลอมที่ปะปนมากับดิน  เช่น  หิน  กรวด  ไม้  โลหะ  ออกเสียก่อน  เพราะเศษวัสดุเหล่านี้อาจทำให้เกิด อันตรายในระหว่างการปั้นได้  ที่สำคัญเศษวัสดุที่หลงเหลืออยู่จะทำให้ผิวพื้นไม่เรียบดูไม่สวยงาม  และทำให้ทำงานไม่สะดวก
                ขั้นที่สาม  นำดินที่กลึงและนวดจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันดีแล้ว  มาวางลงบนแผ่นไม้กระดานที่เตรียมไว้สำหรับเป็นพื้นรองรับตามขนาดที่ต้องการ  โดยปกติขนาดของพื้นกระดานรองรับควรมีขนาดใหญ่กว่ารูปที่จะทำการปั้น  จากนั้นใช้ไม้กลมหน้าเรียบเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ  3-4  เซนติเมตร  กลิ้งไปมาบนก้อนดินเหนียวเวลากลิ้งต้องกดน้ำหนักมือลงบนไม้กลมให้สม่ำเสมอกัน  เพื่อให้ผิวหน้าดินมีความเรียบเท่ากัน
                ขั้นที่สี่  เมื่อกลิ้งหน้าดินที่จะปั้นได้เรียบสม่ำเสมอกันแล้ว  ให้ใช้ไม้บรรทัดกะระยะขนาดของแผ่นดินเหนียวที่จะต้องใช้  จากนั้นใช้เครื่องมือปั้นชนิดหน้าเหลี่ยมตัดแผ่นดินเหนียวออกจากกัน  ข้อควรระวังในการตัดจะต้องให้แนวระดับของเส้นมีความตรงสม่ำเสมอกัน ก็จะได้แผ่นดินเหนียวสำหรับปั้นรูปตามต้องการ
                ขั้นที่ห้า  ใช้วิธีการกลิ้งดินให้เป็นแผ่นแบน ๆ ส่วนขนาดความหนาขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ปั้น  จากนั้นร่างภาพแบนที่ต้องการลงบนแผ่นดินเหนียว  และใช้เครื่องมือปั้นตัดออกให้ได้ตามแบบ
                ขั้นที่หก  เตรียมนำแผ่นดินเหนียวที่ตัดเป็นรูปทรงที่ต้องการไปติดลงบนพื้นแผ่นดินรองรับที่จัดเตรียมไว้ในขั้นตอนแรก  ก่อนที่จะนำแผ่นดินรูปทรงที่ตัดไว้ไปติด  ให้ใช้เครื่องมือขูดขีดลงไปบนพื้นแผ่นดินรองรับและด้านหลังของรูปทรงให้ได้แนวเสมอกับรูปทรงของภาพที่จะนำไปติดเสียก่อน  แล้วใช้น้ำดินเหนียวทาลงไปให้ทั่วตามบริเวณที่ขูดเพื่อปะติดกับวัสดุได้ดีขึ้น  หลังจากนั้นก็นำรูปทรงที่ตัดไว้ปะติดกับวัสดุที่กำหนด
                ขั้นที่เจ็ด  เมื่อแผ่นดินรูปทรงปะติดกับพิ้นรองรับดีแล้ว  ก็ถึงขั้นตอนการปั้นการแต่งรูปแบบให้ได้ขนาดและส่วนตามที่ผู้ปั้นต้องการ  ผู้ปั้นจะต้องค่อย ๆรับระดับความสูงของรูปทรงและพื้นรองรับให้สัมพันธ์กัน  แล้วค่อย ๆ ตกแต่งรายละเอียดตามส่วนของรูปทรง จนเกิดความเรียบร้อยสวยงาม
การปั้นรูปลอยตัว
                การปั้นรูปลอยตัวเป็นการปั้นที่มองเห็นได้รอบด้าน  การปั้นด้วยวิธีการนี้ผู้ปั้นจะต้องพิจารณาและเอาใจใส่รูปทรงเป็นพิเศษทั้งด้านหน้าด้านหลังและด้านข้าง  ให้ทุกด้านมีคุณค่าทางความงาม 
การปั้นรูปตามแบบของจริง

การปั้นรูปแบบเหมือนจริง 
เป็นการปั้นตามแบบหรือเลียนแบบของจริงจากธรรมชาติให้มีลักษณะใกล้เคียงสิ่งที่นำมาเป็นต้นแบบให้ได้มากที่สุด  การปั้นตามแบบของจริงนั้นก่อนปั้นจะต้องสังเกตรูปร่างลักษณะของสิ่งที่นำมาปั้นในเรื่องรูปร่าง  รูปทรง  ขนาดและสัดส่วนให้ดีเสียก่อนว่า  มีความกว้าง ความยาว  หนา  หรือแบน  กลวงหรือทึบตันอย่างไร  ทั้งนี้เพื่อจะได้นำมากำหนดวิธีปั้นให้เหมาะสม  ซึ่งในการปั้นในรูปแบบของจริงจะมีขั้นตอนมีดังนี้
1.ผู้ปั้นจะต้องหาแบบตัวอย่างหรือธรรมชาติที่มีความน่าสนใจในแง่มุมต่าง ๆ ก่อน  เช่น  โครงสร้าง  สัดส่วน ท่าทาง  เป็นต้น  แล้วทดลองนำมาศึกษาดูว่ามีลักษณะใดที่น่าสนใจ  พิจารณารอบด้านให้แน่ใจเสียก่อน  แล้วค่อยลงมือปฏิบัติ
2. ทดลองนำแบบธรรมชาติที่สนใจมาปั้นขยายด้วยดินเหนียวหรือดินน้ำมัน  เป็นการขึ้นรูปโครงสร้างแบบคร่าว ๆ จากนั้นหารูปแบบส่วนรวมของแบบให้ถูกต้องตามที่เป็นจริง
3. ขณะปั้นค่อย ๆ ขยายเพิ่มเติมส่วนของหัวและลำดับตัวภาพสัตว์ให้มีความชัดเจนได้สัดส่วน  ซึ่งในขั้นตอนนี้ผู้ปั้นจะต้องค่อย ๆ พอกดินทีละน้อยและสังเกตว่าจะเพิ่มความหนาหรือความบางตรงไหนบ้าง  ทั้งนี้เพื่อให้รูปที่ปั้นอยู่มีขนาดและสัดส่วนที่เหมือนจริงมากที่สุด
4. เตรียมองค์ประกอบและรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง  เพื่อนำมาเสริมภาพปั้นสัตว์แบบเหมือนจริงให้มีเรื่อง  มีความน่าสนใจ  แปลกแตกต่างไปจากธรรมชาติทั่วไป
5. เป็นการตกแต่งเพื่มเติมรายละเอียด  ซึ่งในขั้นตอนนี้  ผู้ปั้นสามารถเติมแต่งความเหมือนจริงตามธรรมชาติได้อย่างอิสระด้วยเครื่องมือปั้น  ทั้งนี้ควรพิจารณาดูก่อนว่าสิ่งที่ปั้นมีส่วนสูง  ต่ำเป็นอย่างไรส่วนใดควรเพื่มเติมส่วนใดควรลดแล้วค่อย ๆ เสริมแต่งจนผลงานมีความเรียบร้อยสมบูรณ์



บริษัท มาการ จำกัด

88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200