การเก็บอัฐิ
จะทำบุญอัฐิให้เสร็จในคราวเดียวกัน โดยเก็บอัฐิในเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. แล้วนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลเช่นเดียวกับพิธีก่อนเผาในคืนวันนั้น เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. นิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ รุ่งขึ้นถวายภัตตาหารเช้า แล้วนำอัฐิไปบรรจุหรือนำอัฐิไปบรรจุหรือนำกลับไปไว้ที่บ้าน ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีฯแต่บางส่วนจะเก็บอัฐิในวันรุ่งขึ้นเช่นเดียวกับพิธีทางราชการ สำหรับชนบทบางท้องที่ นิยมเก็บในวันที่ ๗ จากวันเผา แล้วนำไปบำเพ็ญกุศลดังกล่าวมา การเดินสามหาบ ก็คือพิธีเก็บอัฐินั่นเอง แต่เป็นพิธีเก็บอัฐิแบบเต็มหรือแบบพิเศษซึ่งก็มีอยู่หลายแบบ ที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ รุ่งขึ้นเช้า เจ้าภาพไปเก็บอัฐิ เตรียมเครื่องบูชาและเครื่องสามหาบไปด้วย คือเครื่อง-ทองน้อย (ธูป ๑ เทียน ๑ ใส่เชิงเทียนเล็ก และดอกไม้ทำเป็น ๓ พุ่ม) ๑ ที่, สุหร่าย (ขวดโปรยน้ำ) ใส่น้ำอบไทย ๑ ขวด พานใส่เงิน (เศษสตางค์) ๑ พาน และโกศหรือผ้าขาวที่จะใส่อัฐิ ของเหล่านี้ วางไว้ตรงข้างศีรษะอัฐิ เมื่อพร้อมกันแล้ว ก็ตั้งต้นเดินสามหาบ คือ มีของไปถวายและเลี้ยงพระสงฆ์ ๑ ชุดชุดที่หนึ่งมีไตรครอง เป็นประเภทเครื่องนุ่งห่ม ชุดที่สองมีสำรับคาว ๑ หวาน ๑ (เป็นเครื่องกิน) ชุดที่สามมีหม้อข้าว เตาไฟ และเครื่องใช้ หรือจะจัดสามหาบอีกแบบหนึ่งก็ได้ คือจัดให้มีหม้อข้าว เชิงกราน พริก หอม กระเทียมฯลฯ อยู่ในสาแหรกข้างหนึ่งมีของคาวและของหวาน และจัดให้เหมือนกันอย่างนี้สามหาบ จัดให้บุตรและหลาน หรือเครือญาติ ๓ คน เป็นผู้หาบคนละหาบ หรือสามหาบอีกแบบหนึ่ง จัดคนขึ้น ๙ คน แบ่งเข้าชุดละ ๓ คน รวม ๓ ชุด ชุดหนึ่ง ๆมีดังนี้ คือ ถือไตร ๑ คน, ถือจาน ช้อนส้อม และแก้วน้ำ ๑ คน, หาบสำรับคาวและหวาน ๑ คน เดินเวียนเมรุคนละหรือชุดละ ๓ รอบ เวลาเดินให้ใช้เสียงกู่กันตามวิธีชาวป่า เรียกกันว่า “ วู้ ๆ ๆ ” คนละ ๓ ครั้งแล้วจึงนำเครื่องสามหาบขึ้นตั้งยังอาสน์สงฆ์ เมื่อเดินสามหาบแล้ว ก็ขึ้นไปเก็บอัฐิ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้ววางไตร ๓ ไตรบนผ้าคลุมอัฐินั้น นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นไปชักผ้าบังสุกุลนั้น จากนั้นจึงเปิดผ้าคลุมออก พรมน้ำอบและเก็บอัฐิใส่ที่ที่เตรียมไว้ แล้ววางอัฐิเก็บแล้วบนพาน ส่วนเถ้าถ่านคืออังคาร ให้รวบรวมใส่ผ้าขาวที่รองนั้นรวบชายขึ้น แล้วห่อใส่ในที่ใส่อังคารที่เตรียมไป แล้วเชิญอัฐิและอังคารกลับลงมาตั้งยังที่ทำบุญ เลี้ยงพระสามหาบ และบังสุกุลแล้ว ก็เป็นอันเสร็จงานฯ หรือถ้าไม่มี ๓ หาบ ก็เก็บอัฐิและอังคารแล้วบังสุกุล ณ ที่นั่นเป็นอันเสร็จพิธีฯ ตอนที่ลงจากเมรุแล้ว เมื่อกลับไปขึ้นบันไดที่บ้าน เจ้าภาพโปรยเศษสตางค์เป็นการให้ทานด้วย
ประเพณีเกี่ยวกับการเก็บอัฐิมีอยู่ว่า เมื่อถึงเวลาเก็บอัฐิ จะเป็นในวันเผาหรือในวันรุ่งขึ้น หรือ ๓ วัน ๗ วัน หลังจากเผาเสร็จก็ตาม ครั้งแรกให้ทำกองกระดูกให้เป็นรูปคนนอนหงาย หันศีรษะไปทางทิศตะวันตก สมมติว่าตาย แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณาบังสุกุล ตอนนี้เรียกว่า “ บังสุกุลตาย”
ผ้าทอดก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ พระสงฆ์จะพิจารณาว่า “ อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโนอุปปัชชิตตะวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข ” เมื่อพระสงฆ์พิจารณาบังสุกุลจนจบแล้ว ก็ให้แปรรูปอัฐินั้นใหม่ เป็นรูปคนหันศีรษะไปทางทิศตะวันออก สมมติว่าเกิด จากนั้น เจ้าภาพก็ใช้น้ำหอมประพรมและโปรยด้วยดอกไม้และเงินทอง นิมนต์พระสงฆ์พิจารณาบังสุกุลอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เรียกว่า“ บังสุกุลเป็น” พระสงฆ์ จะพิจารณาบังสุกุลว่า “ อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉุฑโฑอะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง ” แล้วทำการเก็บอัฐิ เมื่อเก็บอัฐิตามต้องการแล้ว อัฐิที่เหลือ รวมทั้งเถ้าถ่านให้รวบรวมไปบรรจุ ลอยแม่น้ำ
ประเพณีเกี่ยวกับการเก็บอัฐิมีอยู่ว่า เมื่อถึงเวลาเก็บอัฐิ จะเป็นในวันเผาหรือในวันรุ่งขึ้น หรือ ๓ วัน ๗ วัน หลังจากเผาเสร็จก็ตาม ครั้งแรกให้ทำกองกระดูกให้เป็นรูปคนนอนหงาย หันศีรษะไปทางทิศตะวันตก สมมติว่าตาย แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณาบังสุกุล ตอนนี้เรียกว่า “ บังสุกุลตาย”
บริษัท มาการ จำกัด
88/8 หมู่4 ซอยแผ่นดินทอง ตำบลบางน้ำจืด, สมุทรสาคร 74000
Email:makarn.social@gmail.com
090-5588-566
090-5569-200
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น